นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว สมชาย แสวงการ ระบุว่า.. น่าสนใจอย่างยิ่งกับผลรายงานการสอบสวนขอบคณะกรรมการ ชุดที่ อสส. ตั้งขึ้นภายใต้การกำกับของคณะกรรมการอัยการที่ มีนายอรรพล ใหญ่สว่างเป็นประธานคณะกรรมการอัยการและคณะกรรมการตรวจสอบชุดสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ผบตร ตั้งขึ้น ภายใต้การกำกับคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติที่มีนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ จันทร์โอชาเป็นประธาน ที่จะต้องสรุปผลสอบทั้งหมดภายใน15วันนั้น ว่าจะพบความจริงใดบ้างและนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความสงสัยในกระบวนการยุติธรรมชั้นต้นน้ำและกลางน้ำนี้เพียงใด พยานใหม่หลักฐาน ที่กล่าวอ้างเสนอกันจากมูลนิธิเมาไม่ขับถึงเรื่องสารเสพติดนั้น มีอยู่ในสำนวนคดีหรือไม่? ถ้าไม่เคยมีอยู่มาก่อน…ก็น่าจะใช้เป็นพยานเอกสารใหม่ได้ครับ ขึ้นอยู่กับการตรวจสอบกันอย่างจริงจังและตรงไปตรงมาของคณะกรรมการที่อสส. และผบ.ตร. ตั้งขึ้น เพื่อรักษาองค์กรอัยการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระบวนการยุติธรรมไว้โดยขอให้ยึดหลักการตรวจสอบและชี้แจงตามข้อเสนอของคณาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่แถลงในวันนี้ “ขอให้ชี้แจงขั้นตอนการดําเนินการคดีอาญากับนายวรยุทธ อยู่ วิทยา โดยละเอียดและอธิบายเหตผลอย่างชัดเจนถึงผลของคดีที่ขาดอายความและการใช้ดุลยพินิจไม่ฟ้องคดีอาญา และตรวจสอบว่าการดําเนินการและการใช้ดุลยพินิจดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมาย สุจริตและโปร่งใสหรือไม่ และหากพบว่ามีการดําเนินการหรือการใช้ดุลยพินิจในขันตอนใดไม่เป็นไปตามกฎหมาย ไม่สุจริต หรือไม่โปร่งใส ให้ พิจารณาดําเนินการและใช้ดุลยพินิจใหมใ่ห้ถูกต้อง” และหากพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 147 ว่าเมื่อมีคําสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีแล้ว ห้ามให้มีการสอบสวนเกี่ยวกับบุคคลนั้นในเรื่องเดียวกันน้ันอีก เว้นแต่จะได้พยานหลักฐานใหม่อันสําคัญแก่คดี ซึ่งน่าจะทําให้ศาล ลงโทษผู้ต้องหานั้นได้ ดังนั้นหากการสอบสวนอย่างจริงจังของคณะกรรมการทั้งฝ่ายอัยการหรือ สตช. พบว่า มีทุจริตพิรุธไม่โปร่งใสในส่วนใด ย่อมสั่งฟ้องคดีใหม่ได้ทั้งคดียาเสพติดและนำไปสู่การขับรถโดยประมาท(ใช้ยาเสพติด)เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิตได้