วันที่ 26 ก.ค. เว็ปไซต์ "สำนักข่าวอิศรา" เปิดสำนวน 'ลับ’ อัยการสั่งไม่ฟ้อง ‘บอส อยู่วิทยา’! พยาน 2 ราย โผล่ปี62 อ้างขับไม่เกิน 80 กม. ระบุว่า ... สืบเนื่องจากสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ของสหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่ข่าวอัยการไม่สั่งฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส บุตรชายผู้บริหารเจ้าของเครื่องดื่มชูกำลัง ‘กระทิงแดง’ ทุกข้อกล่าวหาในคดีขับรถชนตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิตเมื่อปี 2555 โดยปัจจุบันหลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ พร้อมระบุว่าเป็นข้อหาสุดท้ายที่จะหมดอายุความาในปี 2570 ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจและอัยการอยู่ในขณะนี้นั้น ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้รับการเปิดเผยข้อมูลจากแหล่งข่าวในสำนักงานอัยการสูงสุด ว่า เหตุผลที่ทำให้อัยการไม่สั่งฟ้องคดีนี้ เป็นเพราะมีพยานเพิ่มมาอีก 2 ปาก ในช่วงเดือนธันวาคม 2562 หลังจากเหตุการณ์ผ่านไป 7 ปี ให้การว่าการขับขี่ของนายบอสไม่ถือว่าประมาท ขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เลยสั่งไม่ฟ้อง​คดี ขณะที่ สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบข้อมูลสำนวนคดีที่อัยการสั่งไม่ฟ้องคดีนี้ พบข้อมูลใน 3 ประเด็น คือ 1. ประเด็นการตั้งข้อหาในคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา ซึ่งในสำนวนเอกสารคดีเรียกว่าเป็น ผู้ต้องหาที่ 1 ระบุว่ามีข้อหา ‘ขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถอื่นเสียหาย และมีผู้ถึงแก่ความตาย ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควร แก่ผู้ได้รับความเสียหาย และไม่แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานในทันที ขับรถในขณะเมาสุรา เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด’ ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 เวลา ประมาณ 05.20 นาฬิกา ขณะที่ผู้ต้องหาที่ 1 กำลังขับขี่รถยนต์นั่งส่วนบุคคล เฟอร์รารี่ หมายเลขทะเบียน ---- กรุงเทพมหานคร ไปตามถนนสุขุมวิท ฝั่งขาออกในช่องทางเดินรถที่ 3 ติดกับเกาะกลางถนน จากบริเวณปากซอยสุขุมวิท 45 มุ่งหน้าไปทางพระโขนง เมื่อถึงบริเวณระหว่างปากซอยสุขุมวิท 47 และปากซอยสุขุมวิท 46 ได้ชนท้ายรถจักรยานยนต์ตราโลห์ เลขทะเบียน ---- ซึ่งมีผู้ต้องหาที่ 2 ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจ สน.ทองหล่อ ที่เสียชีวิต ถูกระบุว่าเป็นผู้เป็นผู้ขับขี่ เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์คันที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่ ล้มลงครูดไถลไปตามพื้นถนน หยุดอยู่ที่บริเวณปากซอยสุขุมวิท 49 ร่างของผู้ต้องหาที่ 2 พลัดตกจากรถจักรยานยนต์ขึ้นไปกระแทกกระจกรถยนต์นั่งส่วนบุคคล คันที่ผู้ต้องหาที่ 1 ขับขี่ แล้วตกลงไปที่พื้นถนน ชิดเกาะกลางถนน ถึงแก่ความตาย ผู้ต้องหาที่ 1 ไม่ได้หยุดรถภายหลังเกิดเหตุ แต่ได้ขับขี่หลบหนีเข้าไปภายในบ้านพัก เลขที่ 9 ซอยสุขุมวิท 53 พนักงานสอบสวนได้เดินทางไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ จากการสืบสวนพบคราบน้ำมัน ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ของผู้ต้องหาที่ 1 ขับขี่ขณะเกิดเหตุ จอดอยู่ชั้นใต้ดิน และพบผู้ต้องหา นำตัวผู้ต้องหามอบต่อพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนได้แจ้งเจ้าพนักงานตำรวจ กองพิสูจน์หลักฐานเดินทางไปตรวจเก็บวัตถุพยานจากรถยนต์คันดังกล่าว และยึดรถยนตร์นั่งส่วนบุคคลคันดังกล่าวเป็นของกลาง ส่งตรวจร่องรอยความเสียหายทางวิทยาการ พร้อมกับรถจักรยานยนต์ คันที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่ขณะเกิดเหตุ นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนได้ส่งตัวผู้ต้องหาที่ 1 ไปตรวจหาสารเสพติดและปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ในวันเดียวกัน 2. ในตอนท้ายของเอกสารคำสั่งไม่ฟ้องระบุว่า เหตุดังกล่าวเป็นเหตุสุดวิสัย ผู้ต้องหาไม่มีความผิด ใจความตอนหนึ่งระบุว่า รถจักรยานยนต์ที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่มา ได้แล่นเข้าไปในช่องทางเดินรถที่ 3 ที่ผู้ต้องหาที่ 1 ขับรถแล่นมาในระยะกระชั้นชิด จึงทำให้รถยนต์คันที่ผู้ต้องหาที่ 1 ขับขี่มา ชนท้ายรถจักรยานยนต์ คันที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่มา เป็นเหตุให้ผู้ต้องหาที่ 2 ถึงแก่ความตาย รถทั้งสองคันได้รับความเสียหาย เมื่อเหตุที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้ต้องหาที่สอง ขับขี่รถจักรยานยนตร์เปลี่ยนช่องทางเดินรถ เข้าไปในช่องทางเดินรถที่ผู้ต้องหาที่ 1 ขับขี่มา ด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในระยะกระชั้นชิด ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ไม่สามารถหลบหลีกและหยุดรถได้ทันท่วงที เหตุที่เกิดขึ้นจึงเป็นเหตุสุดวิสัย มิใช่เกิดจากความประมาทปราศจากความระมัดระวัง ของผู้ต้องหาที่ 1 แต่เกิดจากความประมาท ปราศจากความระมัดระวัง ของผู้ต้องหาที่ 2 ที่เปลี่ยนช่องทางเดินรถในระยะกระชั้นชิด การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 จึงไม่มีความผิด ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแต่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 คดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง ผู้ต้องหาที่ 1 ในความผิดฐานนี้ และเป็นกรณีกลับความเห็นและคำสั่งเดิมของระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด ว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ.2547 ข้อ 6 วรรคท้ายอนึ่ง ฝ่ายผู้ต้องหาที่ 2 ( ผู้ตาย ) ได้รับการชดใช้ค่าเสียหาย ค่าสินไหมทดแทนจากผู้ต้องหาที่ 1 จนเป็นที่พอใจ และไม่ประสงค์จะดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญา กับผู้ต้องหาที่ 1 อีกต่อไปจึงมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา ผู้ต้องหาที่ 1 ฐาน กระทำการโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2560 มาตรา 4 3.ความเห็นจากพยาน-ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ต้องหาที่ 1 ขับรถไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ประเด็นนี้ปรากฏในเอกสารดังกล่าว สืบเนื่องจากรองอัยการสูงสุดขณะนั้น ระบุว่าคดีมีปัญหาที่จะต้องพิจารณาเฉพาะข้อกล่าวหาของผู้ต้องหาที่ 1ว่าขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 ว่ามีข้อเท็จจริงใหม่เพียงพอที่จะกลับความเห็นและคำสั่งเดิมหรือไม่ สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ ผู้ต้องหาที่ 1 ยื่นเรื่องร้องขอความเป็นธรรม ต่ออัยการสูงสุดหลายครั้ง รวมถึงยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมมาธิการกฎหมายกระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ( สนช.) ในปี 2557 ด้วย จนอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมตามหนังสือร้องขอความเป็นธรรมอีกหลายครั้ง นำมาสู่การพิจารณาประเด็นข้อกล่าวหาของผู้ต้องหาที่ 1ว่าขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 ตามที่อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ มีคำสั่งฟ้องหรือไม่ เอกสารส่วนนี้ มีการเปิดเผยข้อมูลจากพันตำรวจตรีรายหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบความเร็วรถยนต์ ยืนยันว่า ความเร็วของรถยนต์ที่ผู้ต้องหาที่ 1 ขับ มีความเร็วเกินกว่าความเร็วของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่จะแล่นภายในกรุงเทพมหานคร ที่กำหนดความเร็วไว้ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผู้ต้องหาที่ 1 ขับรถแล่นด้วยความเร็วเฉลี่ย 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จึงเป็นการกระทำโดยประมาท ปราศจากความระมัดระวังในการขับรถ ทว่า เมื่อมีการยื่นเรื่องร้องขอความเป็นธรรม ได้มีการสอบสวนพยานบุคคลผู้เชียวชาญเพิ่มเติมคำนวณความเร็วของรถยนตร์และรถจักรยานยนต์ในคดีนี้ รวมทั้งพยานที่ระบุว่าขับรถตามหลังจักรยานยนต์ของผู้ต้องหาที่ 2 ระบุสอดคล้องกันว่า รถของผู้ต้องหาที่ 1 ขับมาด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ในสำนวนคดีระบุชัดเจนว่า หลังมีการขอความเป็นธรรมในคดีนี้ มีการสอบสวนปากคำพยานบุคคลเพิ่มเติม 2 ราย เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2562 ได้ความว่าพยานทั้งสองขับรถยนต์แล่นตามหลังรถจักรยานยนต์คันที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่มาด้วยความเร็วไม่เกิน 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมให้การว่าผู้ต้องหาที่ 1 ขับรถยนต์มาด้วยความเร็วประมาณ 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นับพยานสองปากเป็นประจักษ์พยานในขณะเกิดเหตุด้วย ขอบคุณข้อมูลและภาพ สำนักข่าวอิศรา