ยังแผลงฤทธิ์อย่างเหลือร้าย ในฐานะบ่อนทำลายสุขภาพของประชากรโลก สำหรับ “ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019” หรือ “โควิด-19” หรือที่มักเรียกกันจนฮิตติดปากอย่างสั้นๆ ว่า “โควิดฯ” ทั้งนี้ เมื่อว่ากันถึงผลกระทบ ความเจ็บไข้ได้ป่วย และความสูญเสีย ก็ต้องบอกว่า คร่าชีวิตชาวโลกไปแล้วเกือบ 7 แสนคน ต้องล้มหมอนนอนเสื่อเพราะติดเชื้อจนได้ป่วยมีจำนวนสะสมมากเกือบ 15 ล้านคน ส่วนความเสียหายทางเศรษฐกิจ และความเดือดร้อนที่มีต่อสังคมโลกนั้นแทบมิต้องพูดถึง เพราะมากมายมหาศาลอย่างเหลือคณานับ ส่งผลให้ทางการของนานาประเทศ ดำเนินมาตรการต่างๆ ในอันที่จะตรวจสอบ สอบสวนโรค เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาด นอกเหนือจากมาตรการสำหรับควบคุมโรคแล้ว โดยมีหลากหลายด้วยกัน อย่างเช่น การจัดหาชุดตรวจหาเชื้อไวรัสโควิดฯ เพื่อให้ได้ทราบผลตรวจอย่างรวดเร็ว อาทิ พีเอสยูโควิด-19 ราปิดเทสต์ เป็นต้น ทั้งนี้ ในการตรวจหาเชื้อโรค ตามการเปิดเผยของวงการแพทย์และสาธารณสุข ล้วนต่างระบุว่า ยิ่งตรวจพบโรคได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งดีเท่านั้น เพื่อจะได้เตรียมการรับมือได้อย่างทันท่วงที ความสำคัญเรื่องการแสวงหาแนวทางการตรวจพบโรคข้างต้น ก็ถึงขนาดระดมสมองบรรดาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเฟ้นหากันเลยทีเดียว ล่าสุด ก็ได้มีระดมนักวิจัย ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา จำนวนกว่า 400 ราย จากนานาชาติที่เป็นพันธมิตรด้านสาธารณสุข มาเสนอแนะแนวทางตรวจหาเชื้อโควิดฯ โดยหนึ่งในแนวทางดังกล่าวนั้น ปรากฏว่า การตรวจหาเชื้อโรคจากน้ำเสียที่ทิ้งตามท่อระบายน้ำต่างๆ ได้รับการจับตาไม่แพ้แนวทางอื่นๆ ตามการเปิดเผยของ “อีบีเอ็มยูดี (EBMUD)” หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “เอ็บมัด” ซึ่งเป็นหน่วยงานให้บริการบำบัดน้ำเสียและสิ่งปฏิกูลต่างๆ ในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของอ่าวซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า การตรวจหาเชื้อไวรัสโควิดฯ จากน้ำเสียตามท่อระบายน้ำต่างๆ ต้องบอกว่า “เวิร์กมาก” โดย “ไอลีน ไวท์” ผอ.ของเอ็บมัด” กล่าวว่า แหล่งน้ำเสียที่มาจากท่อระบายน้ำ ซึ่งทิ้งมาจากบ้านเรือนผู้คนทั้งหลาย สามารถจัดให้เป็นพิกัดแรกๆ ของการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิดฯ ที่กำลังอาละวาดทั่วโลก ณ เวลานี้ ได้เป็นอย่างดีทีเดียว เพราะมันสามารถเตือนภัยก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดฯ ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ ล่วงหน้าเพียงใดนั้นหล่ะหรือ? ก็ราวๆ 7 วัน เท่านั้น ก็สามารถประเมินได้แล้วว่า พื้นที่ละแวกนั้นจะเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือไม่ ผอ.เอ็บมัด เปิดเผยต่อว่า เคยพบเชื้อไวรัสโควิดฯ ในน้ำเสียในพื้นที่ที่ทางเอ็บมัดรับผิดชอบ แล้วปรากฏว่า ในสัปดาห์ถัดๆ มา ประชาชนในพื้นที่ละแวกนั้นก็เผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดฯ ซึ่งสามารถเตือนภัยได้ก่อนการตรวจหาเชื้อด้วยวิธีอื่นๆ รวมถึงการตรวจจากผู้คนต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อเสียอีก แถมผลตรวจที่ออกมา ก็ต้องบอกว่า แม่นยำอย่างมากๆ เลยทีเดียว ทั้งนี้ วิธีการตรวจหาเชื้อโรคจากน้ำเสียตามท่อระบายน้ำดังกล่าว ทาง ผอ.ไวท์ กล่าวว่า ได้แนวทางมาจากการตรวจหาเชื้อโรค เมื่อครั้งที่โรคโปลิโอ และไวรัสอีโบลา ในครั้งอดีต โดยได้นำมาปรับประยุกต์ใช้กับการตรวจหาเชื้อโรคโควิดฯ ที่กำลังแพร่ระบาด ณ ชั่วโมงนี้ ส่วนวิธีการนี้ได้ดำเนินการครั้งแรกเมื่อใดนั้น บิ๊กบอสของเอ็บมัด เปิดเผยว่า เริ่มจากการตรวจสอบเชื้อไวรัสโควิด – 19 จากน้ำเสียที่ระบายออกมาจาก “เรือสำราญ แกรนด์ ปรินเซส” เป็นครั้งแรก ในระหว่างที่เรือมาจอดเทียบท่า ที่ท่าเรือในเมืองโอ็คแลนด์ รัฐโอคลาโฮมา สหรัฐฯ เมื่อต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งปรากฏว่า ได้พบเชื้อไวรัสโควิดฯ ในน้ำเสียที่ระบายออกมาจากเรือ และผู้คนบนเรือสำราญดังกล่าว ก็ติดเชื้อไวรัสมรณะชนิดนี้เป็นจำนวนมาก จนเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลก และนั่น! ถือเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการตรวจหาเชื้อโรคโควิดฯ จากน้ำเสียจากท่อระบายน้ำ ผอ.เอ็บมัด ยังเผยด้วยว่า การตรวจหาเชื้อไวรัสโควิดฯ ด้วยวิธีนี้ เป็นทางเลือกที่ดีเมื่อเปรียบเทียบวิธีการอื่นๆ หลายประการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเหมาะสำหรับประเทศที่ขาดแคลนชุดอุปกรณ์ตรวจหาเชื้อโรคจากระบบทางเดินหายใจของผู้คน ความแม่นยำที่ในการประเมิน จากการที่เมื่อตรวจพบเชื้อโรคในน้ำเสียแล้ว ก็สามารถประเมินได้ว่า ชุมชนในย่านนั้นๆ จะประสบกับการแพร่ระบาดของโรคร้ายในอีกราวๆ 7 วันข้างหน้า ทำให้ทางการเตรียมตัวรับมือกับการแพร่ระบาดได้ทันกาล เช่น การเตรียมแพทย์ พยาบาล และสถานรักษาพยาบาล ตลอดจนการปิดพื้นที่ ล็อกดาวน์ ในย่านบริเวณนั้นๆ ได้อย่างทันการณ์ เป็นต้น นอกจากนี้ ข้อดีของการตรวจหาเชื้อจากน้ำเสียตามท่อน้ำทิ้งอีกประการหนึ่ง ก็คือ สามารถตรวจหาเชื้อไวรัสโควิดฯ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น้ำเสียที่ปนเปื้อนอุจจาระของผู้ติดเชื้อโควิดฯ แตกต่างจากการตรวจหาเชื้อโรคจากผู้คนที่หลายรายปรากฏว่า เป็นเชื้อโควิดฯ แบบไม่แสดงอาการ ทำให้ไม่ทราบแน่ชัดว่า คนๆ นั้นป่วยด้วยโรคโควิดฯ หรือไม่ ซึ่งเสี่ยงอันตรายสูง ที่จะเป็นพาหะแพร่เชื้อไปยังคนอื่นๆ จนแพร่ระบาดกันไปทั่ว