ยิ่งนับวัน ก็ยิ่งมีแต่สาละวันเตี้ยลงๆ สำหรับ “คะแนนนิยม” ของ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ” ถึงขนาดถูกจัดให้เป็น “ประธานาธิบดียอดยี้” ใน “ประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกา” เลยทีเดียวก็ว่าได้ ทั้งนี้ เนื่องจากมิว่าสำนักโพลล์ไหนๆ สำรวจความคิดเห็นของอเมริกันชนกันเมื่อใด ก็ได้เห็นคะแนนนิยมอันไม่น่าพึงพอใจของประธานาธิบดีฝีปากกล้ารายนี้กันเมื่อนั้น แถมมิหนำซ้ำ คะแนนนิยมก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดินลงไปอยู่เรื่อยๆ สวนทางแตกต่างจาก “คู่ปรับ” คนสำคัญที่จะมา “คู่ศึก” ที่จะมาสัประยุทธ์กับเขาในสมรภูมิ “เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ” ที่จะมีขึ้นในช่วงต้นเดือน พ.ย.ปลายปีนี้ นั่นคือ “นายโจ ไบเดน” อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยบารัก โอบามา ผู้สมัครรับเลือกตั้งตัวแทนจากพรรคเดโมแครต ในฐานะผู้ท้าชิง โดยนายทรัมป์ ลงสู้ศึกเลือกตั้งเพื่อรักษาตำแหน่งประธานาธิบดี ในนามผู้สมัครฯของพรรครีพับลิกัน ที่ผ่านมามา ในการสำรวจคะแนนนิยมเปรียบเทียบของสองคู่ศึกคู่นี้ ก็ปรากฏว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ ตามหลังนายไบเดน มาโดยตลอด แบบทันทีที่อดีตรองประธานาธิบดีสมัยบารัก โอบามา ประกาศตัวลงชิงชัยเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ในนามพรรคเดโมแครต ดูเหมือนว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เองก็หวั่นใจมาตั้งแต่ต้น ต่อคะแนนนิยมของนายไบเดน ยิ่งกว่าตัวแทนของพรรคเดโมแครตคนไหนๆ ล่าสุด ในการสำรวจความคิดเห็นของชาวอเมริกัน โดย “มหาวิทยาลัยควินนิพิแอค” สถาบันการศึกษา และการสำรวจโพลล์ชื่อดังในสหรัฐฯ ก็ออกมาเปิดเผยผลโพลล์ที่สำรวจเมื่อช่วงกลางเดือน ก.ค.นี้ ปรากฏว่า คะแนนนิยมของประธานาธิบดีตกต่ำดิ่งเหวทรุดหนักยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เมื่อเปรียบเทียบกับนายไบเดน คู่แข่ง จนกลายเป็นผู้สมัครตัวเก็งคนสำคัญ โดย “ควินนิพิแอคโพลล์” ระบุว่า คะแนนนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์ ดิ่งด่ำตกต่ำลงไปอยู่ที่ร้อยละ 37 ตามหลังแบบห่างๆ อย่างหายห่วงต่อนายไบเดน ที่ได้คะแนนนิยมไปถึงร้อยละ 52 นักวิเคราะห์โพลล์ของ “ควินนิพิแอค” แสดงทรรศนะว่า ถือเป็นคะแนนนิยมที่ทิ้งห่างมากที่สุดในการสำรวจโพล์ประจำปี 2020 เลยก็ว่าได้ ด้วยช่องว่างห่างกันถึง 15 จุด ระหว่างสองคู่ชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2020 นี้ เปรียบเทียบกับการสำรวจโพลล์ครั้งที่ผ่านมา ก็ต้องบอกว่า ประธานาธิบดีทรัมป์มีคะแนนนิยมตกต่ำลงกว่าครั้งที่แล้วที่ทิ้งห่างกันเพียง 8 จุด คือ ร้อยละ 41 ต่อร้อยละ 49 เหตุปัจจัยที่ทำให้คะแนนนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์ตกต่ำลงเรื่อยๆ นั้น ก็มาจากการรับมือวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ที่กำลังอาละวาดอย่างหนักในสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วงต้นปีเป็นต้นมา ซึ่งชาวอเมริกันเห็นว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าในการจัดการกับวิกฤตินี้ จนทำให้ประเทศมีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจำนวนมากเป็นอันดับ 1 ของโลกในเวลานี้ โดยชาวอเมริกันกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เห็นว่า นายไบเดน น่าจะรับมือกับวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิดฯ ได้ดีกว่าประธานาธิบดีทรัมป์เป็นไหนๆ นอกจากนี้ ประธานาธิบดีฝีปากกล้าก็ยังเผชิญกับปรากฏการณ์ม็อบผิวสีเขย่าประเทศ จากกรณีที่นายจอร์จ ฟลอยด์ เสียชีวิตขณะถูกตำรวจควบคุมเข้ามาซ้ำเติมผสมโรงอีกต่างหากด้วย เมื่อสถานการณ์คะแนนนิยมดิ่งเหวหายนะกันเยี่ยงนี้ ก็ส่งผลให้ประธานาธิบดีทรัมป์ถึงคราวต้องขยับปรับทัพคณะรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งอย่างขนานใหญ่ ด้วยการปรับระดับตำแหน่ง “ผู้จัดการ” ในฐานะหัวหน้าการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งกันเลยทีเดียว โดยประธานาธิบดีทรัมป์ได้ปรับให้ “นายแบร็ด ปาร์สเกล” ออกจากตำแหน่ง “ผู้จัดการคณะรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง” แล้วให้ “นายบิลล์ สเตเปียน” มาดำรงตำแหน่งแทน ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า ประธานาธิบดีทรัมป์คิดที่จะปรับนายปาร์สเกลออกจากตำแหน่งข้างต้นมาหลายเพลาแล้ว ก่อนมาประสบเหตุการณ์ที่เปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้าย ก็คือ งานอีเวนต์การรณรงค์หาเสียงฯ ที่เมืองทัลซา รัฐโอคลาโฮมา ที่ปรากฏว่า ผู้คนมาร่วมงานกันอย่างบางตา ซึ่งถือเป็นความล้มเหลวของนายปาร์สเกล และทำให้เขาต้องถูกปรับออกจากตำแหน่งผู้จัดการดังกล่าว แต่ยังคงอยู่ในทีมงานของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยอาจไปดูแลเกี่ยวกับงานดิจิทัลและยุทธศาสตร์ออนไลน์ของนายทรัมป์ กล่าวถึงนายสเตเปียน คร่ำหวอดในแวดวงการเมืองและการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งสหรัฐฯ ไม่น้อยเหมือนกัน แม้อายุอานามเพิ่งจะ 40 ปีต้นๆ เท่านั้น โดยเขาเคยอยู่ในทีมงานรณรงค์หาเสียงของนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช จนได้รับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถึง 2 สมัยซ้อนมาแล้ว นอกจากนี้ ก็ยังเคยฝากผลงานการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งระดับท้องถิ่นในสหรัฐฯ เช่น ที่รัฐนิวเจอร์ซีย์ จนทำให้ “คริส คริสตี” ได้นั่งเก้าอี้ผู้ว่าการรัฐดังกล่าว อย่างไรก็ตาม นายสเตเปียน ก็เคยมีเรื่องอื้อฉาวจากกรณี “บริดจ์เกต” ในศึกการเมืองท้องถิ่นที่นิวเจอร์ซีย์ด้วยเหมือนกัน เมื่อช่วงปี 2013 – 2014 แต่หลุดคดีมาได้ ทว่า ถึงกระนั้นเรื่องราวอื้อฉาวดังกล่าว ก็ได้กลายเป็นบาดแผลให้ชาวอเมริกันกล่าวขานขุดคุ้ยในเชิงลบ เสียๆ หายๆ กวนใจนายสเตเปียน มาตราบเท่าถึงทุกวันนี้ สำหรับ ภารกิจของนายสเตเปียนในฐานะผู้จัดการคณะรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของประธานาธิบดีทรัมป์หนนี้ ก็ต้องบอกว่า เป็น “งานหิน” ไม่บันเบา กับการพลิกฟื้นคะแนนนิยมของนายทรัมป์ ในระยะเวลาที่เหลือเพียง 16 สัปดาห์เท่านั้น ก่อนถึงวันหย่อนบัตรเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันอังคารที่ 3 พ.ย.ปลายปีนี้ ที่จะชี้ชะตาว่า นายทรัมป์จะไปหรือจะอยู่ ในทำเนียบขาว ในฐานะประธานาธิบดีสมัยสองของสหรัฐฯ