“ธนาธร” เปิดตัวไลฟ์ “ก้าวหน้า Talk: คุณถาม เราตอบ” โชว์วิสัยทัศน์แก้โควิด - ย้ำเจตจำอนาคตใหม่ยังคงเดินทาง - ชวนร่วมเขย่าการเมืองท้องถิ่น เปิดรับสมัครผู้เสนอตัวลง อปท. ทุกระดับ เมื่อวันที่ 17 ก.ค.63 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เปิดตัวเทปแรกของรายการเฟซบุ๊กไลฟ์ “ก้าวหน้า Talk: คุณถาม เราตอบ” ที่มุ่งหวังเป็นช่องทางการสื่อสารประจำสัปดาห์ ระหว่างแกนนำคณะก้าวหน้ากับประชาชน ให้ผู้ที่ติดตามชมการถ่ายทอดสามารถพิมพ์คำถามเข้ามาเพื่อให้แกนนำคณะก้าวหน้าได้มาตอบคำถามและพูดคุยกับประชาชน ซึ่งในวันแรก มีผู้เข้ามาติดตามรายการและสอบถามปัญหามากมาย โดยส่วนใหญ่เป็นคำถามที่อยากทราบวิสัยทัศน์ของนายธนาธร ถึงวิธีการแก้ปัญหาวิกฤติต่างๆที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาอื่นๆ ถ้าโควิดระลอกสองมาจะทำอย่างไร? “ธนาธร” ชี้สามมาตรการ ปิดเมือง-สาธารณสุข-เยียวยา ต้องเดินพร้อมกัน ย้ำชัยชนะของประชาชนคือคนไม่ติดโรคตายและไม่อดตายด้วย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หนึ่งในคำถามที่น่าสนใจ คือหากโรคโควิด-19 กลับมาระบาดอีกครั้งควรทำอย่างไร ซึ่งนายธนาธรได้ระบุว่าสำหรับตนแล้ว การแก้ไขการแพร่ระบาดในระยะที่สองต้องทำให้ดีกว่าครั้งแรก สามมาตรการต้องไปด้วยกัน คือ 1) มาตรการปิดเมือง 2) มาตรการสาธารณสุข และ 3)มาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ในระลอกแรก ทั้งสามมาตรการนี้ถูกทำอย่างแยกส่วนด้วยความตื่นตระหนก ทำให้มาตรการปิดเมืองกับมาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจทำในคนละช่วงเวลา ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกัน ระลอกนี้ตนหวังว่าจะมีการคิดแบบสมบูรณ์มากขึ้น ซึ่งถ้ามีการระบาดขึ้นอีกครั้ง ตนเห็นว่าไม่จำเป็นต้องปิดเมืองเป็นเวลานานถึงสามเดือน แต่ปิดแค่ให้เท่าระยะฟักตัวของเชื้อไวรัส คือระยะ 14 วันก็เพียงพอ และระหว่างนี้ให้ออกมาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจ ดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากการปิดเมืองให้ทันท่วงทีและทั่วถึง ก็จะบรรเทาผลกระทบของประชาชนได้ “ที่ผ่านมา ศบค.ออกมาย้ำให้ประชาชนกลัวทุกวัน ว่า การ์ดอย่าตก แต่ความกลัวนี้ได้กลับกลายเป็นความไม่พอใจ เมื่อรัฐบาลมีการปฏิบัติสองมาตรฐาน ระหว่างกลุ่มคน VIP กับกลุ่มคนส่วนใหญ่ของประเทศ ในรอบสองสามวันที่ผ่านมาจึงมีคนรู้สึกโกรธกับมาตรการที่รัฐบาลผ่อนปรนให้กับผู้มีอำนาจ เรายืนยันว่านี่คือช่วงเวลาที่จะต้องเฉลี่ยสุขด้วยกัน ต้องก้าวต่อสู้กับการแพร่ระบาดไปด้วยกัน แต่ก็ต้องไม่ปล่อยให้คนอดตาย ข้างหน้าต่อไปหวังว่ารัฐบาลจะเห็นความสำคัญของการตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน ไม่ใช่เอาเป้าหมายทางสาธารณสุขเป็นตัวตั้งเพียงอย่างเดียว แล้วประกาศชัยชนะของมาตรการสาธารณสุข ซึ่งไม่ใช่ชัยชนะของประชาชนแน่ๆ เพราะมีประชาชนจำนวนมาากที่เดือดร้อนจากนโยบายทางสาธารณสุขของรัฐบาล ชัยชนะที่เป็นของพวกเราทุกคน ที่เป็นของประเทศไทย คือ 1) ไม่มีคนตายเพราะไวรัส และ 2) ไม่มีคนตายเพราะความหิวโหย เพราะความยากคน นี่ต่างหากคือชัยชนะของประเทศ คือชัยชนะของคนทุกคน ก็หวังว่ารัฐบาลจะตระหนักถึงสิ่งนี้ เรียนรู้จากความผิดพลาดในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิดในระลอกแรก และเอาสิ่งต่างๆมาประยุกตร์ใช้ในระลอกที่สอง” นายธนาธรกล่าว ย้ำอีกครั้ง การต่อสู้ในระบบยังไม่สิ้นหวัง - “ก้าวหน้า-ก้าวไกล” แยกเดินบนอุดมการณ์ “อนาคตใหม่” ไม่เปลี่ยนแปลง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้น ได้มีผู้ถามเข้ามาว่าการต่อสู้ในระบบสิ้นหวังหรือยัง? ซึ่งนายธนาธรระบุว่าตนต้องตอบว่ายัง พรรคอนาคตใหม่เมื่อถูกยุบไป ได้ทำให้เกิดสององค์กรขึ้นมาใหม่ กลุ่ม ส.ส.ที่ยังยึดมั่นในอุดมการณ์ ได้ย้ายไปอยู่พรรคก้าวไกล ซึ่งการทำงานในรอบเดือนกว่าๆที่ผ่านมาน่าจะเป็นบทพิสูจน์แล้ว ว่าคุณภาพในการทำงานในสภาตามระบบของพวกเขายังคงเป็นปากเสียง พูดให้คนเล็กคนน้อย ยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์เดิมของพรรคอนาคตใหม่อยู่ ให้เวลาอีกสักนิด พรรคก้าวไกลก็จะเติบโตเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ ตนก็ต้องขอให้ทุกคนร่วมกันสนับสนุนพรรคก้าวไกลด้วย ส่วนตนและกรรมการบริหารพรรคคนอื่นๆก็ไม่ท้อถอยเช่นกัน ยังคงเดินหน้าต่อ และได้จัดตั้งคณะก้าวหน้าขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์หลัก เช่นการรณรงค์ทางความคิด รณรงค์วาระทางสังคมที่แหลมคม รณรงค์วาระทางสังคมที่เป็นประโยชน์กับประชาชน ปักธงความคิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือประเด็นทางสังคมอื่นๆ รวมถึงการทำงานในด้านการเมืองท้องถิ่น ซึ่งคณะก้าวหน้ากำลังขับเคลื่อนเพื่อนำไปสู่การส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งตำแหน่งบริหารในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ใน 4 พันแห่งทั่วประเทศ โดยในระยะที่ผ่านมานี้ คณะก้าวหน้าได้เริ่มต้นผลักดันการสรรหาผู้สมัครที่จะลงชิงตำแหน่ง อปท.ไปแล้ว และตนขอเชิญชวนว่าใครที่อยากเปลี่ยนแปลงบ้านเกิดของตัวเอง สามารถเริ่มต้นได้ในวันนี้ ไม่ต้องรอการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า มาลงสมัคร อปท.ร่วมกับเรา ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งนายกเทศมนตรี อบต. หรือ อบจ. ถ้าใครที่ทนไม่ไหวกับสภาพบ้านเกิดที่ไม่เคยพัฒนา ไม่เจริญขึ้นเลย อย่ารอการเปลี่ยนแปลง แต่จงสร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยมือของเราเอง สำหรับผู้ที่สนใจ ขอให้ติดตามดูได้ที่เว็ปไซต์ของคณะก้าวหน้า (https://progressivemovement.in.th/local-election/) เราเปิดรับสมัครผู้สมัครแล้ววันนี้ ตนเชื่อมั่นว่าเราสามารถร่วมกันเปลี่ยนประเทศไทยได้ที่บ้านเกิดของเราเอง เรากำลังรอคนที่มีพลัง อยากเปลี่ยนแปลงบ้านเกิดมาร่วมกับเรา เรากำลังทำสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน นั่นคือการส่งผู้สมัคร อปท.พร้อมกันทั่วประเทศ 4 พันแห่ง “ลองนึกดูว่าถ้าเรามีนายกเทศมนตรี อบต. อบจ.ที่ไม่โกงกิน ทุจริตคอรัปชั่น มีเจตจำนงที่แน่วน่าที่จะเอางบประมาณของท้องถิ่นไปสร้างสิ่งที่ดีให้ท้องถิ่น ไม่ว่จะเป็นสิ่งแวดล้อม น้ำ โรงเรียน ถนนหนทาง ให้งบประมาณทั้งหมดถูกนำไปใช้ด้วยแนวความคิดที่สร้างสรรค์ ยืนหยัดเรื่องประชาธิปไตย ความเสมอภาค ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ประเทศไทยจะไปได้ไกลแค่ไหน และนี่คือการเปลี่ยนแปลงท้องถิ่นและประเทศ” นายธนาธรกล่าว "เขย่าการเมืองท้องถิ่น" เปลี่ยนภูมิทัศน์ใหม่จากอิทธิพลสู่การแข่งขันด้วยนโยบาย -ประชาชนได้ประโยชน์เต็มๆ ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า จากนั้น จึงมีหนึ่งในผู้ชมรายการ ที่พิมพ์คำถามเข้ามา ว่าในการเลือกตั้งท้องถิ่นของคณะก้าวหน้าจะสู้กับผู้มีอิทธิพลได้อย่างไร? ต่อประเด็นนี้ นายธนาธรระบุว่าเราจะใช้รูปแบบการทำงานเดิมสมัยที่เราเป็นพรรคอนาคตใหม่ คือจะไม่ใช้เงินซื้อเสียง ไม่ใช้อิทธิพล และการขับเคลื่อนด้วยนโยบายเป็นหลัก ทั้งนี้ การเมืองระดับท้องถิ่นปัจจุบันถูกครอบงำด้วยอิทธิพลของ “บ้านใหญ่” หรือวัฒนธรรมการมีสมาชิกในครอบครัวเป็นทั้งนักการเมืองระดับชาติและท้องถิ่น ควบคุมทุกภาคการเมืองในจังหวัดและท้องถิ่น ซึ่ง หลายครั้งนำไปสู่การใช้อิทธิพลและอำนาจที่มีอยู่ ไปเอื้อประโยชน์ให้ตนและพวกพ้อง ทางออกคือเราจะสู้ด้วยนโยบาย ที่ผ่านมาเราไม่เคยเห็นการเมืองท้องถิ่นที่พูดถึงนโยบาย เราจะทำให้ทุกคนที่ลงแข่งกับเราในทั้ง 4 พันแห่งต้องพูดถึงนโยบาย ว่าอยากเห็นบ้านเกิดเราหน้าตาเป็นอย่างไร อยากให้งบประมาณเน้นไปที่ไหน โรงเรียนแบบไหน โรงพยาบาลแบบไหนที่เราต้องการ นำนโยบายแบบนี้เข้าสู่การแข่งขัน “ ถ้าเราสามารถทำให้นโยบายเป็นตัวตั้งหลักในการแข่งขันได้ นี่จะทำให้ประชาธิปไตยเข้มแข็งขึ้น บังคับให้ทุกคนต้องเปลี่ยนแปลงตาม ต้องนำเสนอนโยบายแข่งกับเรา ถ้าเกิดเช่นนี้ได้ประชาชนจะได้ประโยชน์ เพราะทุกคนต้องนำนโยบายมาเสนอให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน ว่าอยากให้บ้านเกิดเราเป็นแบบไหน นี่คือความก้าวหน้าของประชาธิปไตย ภาคพลเมือง และนโยบายสาธารณะ ถ้าเราทำแบบนี้ได้ประเทศไทยจะเปลี่ยนไปแค่ไหน และนี่คือความหมายที่ผมบอกว่าเราจะมาเขย่าการเมืองท้องถิ่น ทุกท่านเคยทำร่วมกับผมสำเร็จมาแล้วในการเมืองระดับชาติ เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ลองมาทำร่วมกันอีกสักครั้ง ครั้งนี้ทำในระดับบ้านเกิดของเราเอง ทำที่การเมืองท้องถิ่น ผมเชื่อว่าแนวทางการเมืองแบบนี้ไม่เคยมีใครทำมาก่อน และจะเป็นแนวทางการเมืองที่เปลี่ยนประเทศไทย ประชาธิปไตยในระดับชาติจะแข็งแรงไม่ได้ถ้าประชาธิปไตยในระดับท้องถิ่นไม่แข็งแรง มาลองทำร่วมกันอีกครั้ง” นายธนาธรกล่าว