“สนธิรัตน์” อำลาข้าราชการกระทรวงพลังงาน ระบุไม่เสียดาย ไม่ฝากงาน รมว.พลังงานคนใหม่ เผยทำหลายโครงการ นำพลังงานลดค่าใช้จ่ายประชาชน สร้างเศรษฐกิจฐานราก ขณะที่แผนประมูลแหล่งปิโตรเลียม-โรงไฟฟ้าชุมชนสะดุด รอรัฐมนตรีคนใหม่สานต่อหรือไม่เป็นเรื่องของอนาคต เมื่อวันที่ 17 ก.ค.63 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน ได้เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประจำกระทรวงพลังงาน หลังจากประกาศลาออกจากตำแหน่งเมื่อวานนี้(16 ก.ค.)หลังจากนั้น นายสนธิรัตน์ ได้พบปะอำลา ข้าราชการและผู้บริหารรัฐวิสาหกิจในสังกัด แถลงผลงานกับสื่อมวลชน และยังแจกหนังสือ เอ็นเนอร์ยี่ฟอร์ออล พร้อมลายเซนต์ให้กับผู้เข้าร่วมงาน โดยทีมงานระบุว่า หนังสือเล่มนี้ทางสำนักพิมพ์ ได้เตรียมเขียนมา 7-8 เดือน ไม่ได้เตรียมเพื่อการอำลาตำแหน่ง รมว.พลังงานแต่อย่างใด นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ขอขอบคุณทุกฝ่ายและสื่อที่ทำงานร่วมกันมา 1 ปี นับจากนี้คงจะพักผ่อนและยังไม่คิดว่าจะเล่นการเมืองใดๆ คงจะไปทำงานด้านที่สร้างประโยชน์ต่อประเทศต่อเนื่อง ซึ่งใครจะมาดำรงตำแหน่ง รมว.พลังงาน คนใหม่ ก็แล้วแต่นายกรัฐมนตรีจะพิจารณา และไม่ขอฝากจะสานงานต่อที่ทำไว้หรือไม่ หากเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีก็แล้วแต่ รมว.พลังงานคนใหม่ สำหรับโครงการที่อาจเกิดความล่าช้าหลังจากที่ตนได้ลาออกจากตำแหน่ง รมว.พลังงาน อย่างการเปิดประมูลแหล่งปิโตรเลียมรอบใหม่ เป็นรอบที่ 23 ที่เตรียมจะลงนามออกประกาศในช่วงสัปดาห์หน้า รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน ที่ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ พ.ศ.2561-2580 ฉบับปรุงปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Rev.1) อยู่ระหว่างการรอเข้าพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อนจะออกประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าตามโครงการต่อไป “ผมคงไม่มีสิทธิกังวล หน้าที่ของผู้บริหารทางการเมืองเป็นไปตามกลไกและวาระ ผมคงไม่อาจห่วงใยอะไรได้มาก ทุกสิ่งที่ทำวางไว้อยู่บนโต๊ะ ท่านใหม่มา ท่านต้องทำอะไรก็เป็นดุลยพินิจของท่าน" ทั้งนี้กระทรวงพลังงานเตรียมจะเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ ซึ่งเป็นรอบที่ 23 ในพื้นที่อ่าวไทย จำนวน 3 แปลง ซึ่งได้มีการหารือร่วมกันและนัดหมายว่าจะออกประกาศในสัปดาห์หน้า แต่หลังจากนี้คงต้องรอให้ รมว.พลังงานคนใหม่เข้ามาดูแลเรื่องนี้ต่อไป โดยโครงการดังกล่าวนับว่าเป็นโครงการที่สำคัญที่จะสร้างความมั่นคงของปริมาณก๊าซธรรมชาติ หลังจากที่ไทยไม่ได้เปิดประมูลแหล่งปิโตรเลียมมาเป็นเวลานับสิบปี นอกจากนี้ในส่วนของพื้นที่ปิโตรเลียมทับซ้อนไทย-กัมพูชานั้น ขณะนี้มีความคืบหน้าไปมาก คาดหวังจะมีความเป็นไปได้ในการบรรลุข้อตกลงในระยะต่อไป ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไปอีก 30 ปี ส่วนการสะสางข้อพิพาทด้านปิโตรเลียมระหว่างกระทรวงพลังงานกับกลุ่มเชฟรอนนั้น ที่ผ่านมาได้ระงับกระบวนการอนุญาโตตุลาการกรณีการรื้อถอนสิ่งติดตั้งในทะเล ซึ่งได้มีข้อตกลงยอมระงับกระบวนการอนุญาโตตุลาการไว้ชั่วคราว พร้อมตั้งคณะทำงานเจรจาหาข้อยุติข้อพิพาทอย่างฉันมิตรและวางโรดแมพเพื่อนำไปสู่ข้อยุติร่วมกัน ล่าสุดมีแนวโน้มแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนที่ยังอยู่ระหว่างการรออนุมัติแผน PDP2018 Rev.1 จากครม.นั้น หลังจากนั้นคาดว่าคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะสามารถออกประกาศเชิญชวนเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจำนวน 700 เมกะวัตต์ (MW) แบ่งเป็นประเภท Quick win 100 เมกะวัตต์ และประเภททั่วไป 600 เมกะวัตต์ ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าชุมชุนนำร่องของรัฐวิสาหกิจทั้งในส่วนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ในพื้นที่แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ และพื้นที่ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ รวมถึงโครงการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในจ.ยะลา ก็ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ "โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนนับเป็นโครงการที่ดีเพื่อเศรษฐกิจฐานราก และช่วยสร้างรายได้ให้ประชาชน ตลอดจนสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน โครงการนี้ IRR ไม่ถึง 10% ถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับการลงทุนโรงไฟฟ้าอื่นๆในอดีต ควรเป็นโครงการที่เดินต่อเพราะสร้างเงินลงทุน 4.8 หมื่นล้านบาทในระยะแรก ซึ่งหากจะมีการเดินหน้าต่อ ก็ขอฝากท่านปลัดช่วยดูแลเพื่อไม่ให้เกิดการนำสัญญาไปซื้อขายต่อ" นายสนธิรัตน์ กล่าวอีกว่า โครงการโซลาร์ภาคประชาชน ที่มีแผนจะปรับปรุงการดำเนินงานให้ได้รับความสนใจมากขึ้นนั้น ก็ยังอยู่ระหว่างการเตรียมแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อปรับกฎเกณฑ์ แต่ยังไม่ได้ดำเนินงาน ทำให้การดำเนินโครงการในปัจจุบันยังคงเป็นไปตามแผนงานเดิม โดยผลงานในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาได้แก่ การลดภาระค่าครองชีพด้านพลังงาน เพื่อบรรเทาภาระจากผลกระทบสถานการณ์โควิด-19 ,นโยบาย B10 และการนำระบบบล็อกเชนมาใช้เพื่อปรับสมดุลปาล์มทั้งระบบ ,ปรับราคาน้ำมันอ้างอิงหน้าโรงกลั่น ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันลดลง 50 สตางค์/ลิตร,สร้างไทยเป็นศูนย์กลางซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Hub) คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ในไตรมาส 3/63 ,การริเริ่มให้ไทยเป็นศูนย์กลางซื้อขายไฟฟ้าของอาเซียน,การปฏิรูปกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้มีความโปร่งใส เป็นต้น นายสนธิรัตน์ ปฎิเสธที่จะขอแสดงความคิดเห็นต่อบุคคลที่จะเข้ามารับตำแหน่ง รมว.พลังงานคนใหม่ แต่ขอให้เป็นบุคคลที่เป็นนักบริหารเพื่อจะสามารถทำงานได้ เพราะมีข้าราชการที่มีความรู้ความสามารถช่วยแนะนำข้อมูลให้ สำหรับบทบาทของตนเองนั้นหลังจากนี้ก็จะขอพักผ่อน และอาจจะกลับมาทำบทบาทหน้าที่เดิมเพื่อสังคม ส่วนจะกลับเข้ามาดำเนินการทางการเมืองหรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่เห็นโอกาสเพราะไม่ได้มีตำแหน่งใดๆทางการเมืองหลังจากลาออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐแล้ว ส่วนความสัมพันธ์กับนายกรัฐมนตรีไม่ได้มีสัญญาใจใดๆผูกพัน แต่ที่ผ่านมาได้ทำงานร่วมกันมานานพอสมควร