หากกล่าวถึงบรรยากาศรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ต้องถือว่า ณ ชั่วโมงนี้ “นายโจ ไบเดน” อดีตรองประธานาธิบดีสมัยบารัก โอบามา ก็นับว่า คึกคักยิ่งกว่าผู้สมัครคนใด แม้กระทั่ง “นายโดนัลด์ ทรัมป์” เจ้าของตำแหน่งประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ทั้งนี้ ก็ด้วยสถานการณ์ของอดีตรอบประธานาธิบดี ซึ่งเป็นผู้สมัครของพรรคเดโมแครตรายนี้ กำลังมีคะแนนนิยมแบบดีวันดีคืน เหนือกว่านายทรัมป์ เจ้าของเก้าอี้ประธานาธิบดี จากพรรครีพับลิกัน ชนิดนับวันยิ่งมีคะแนนนิยม “ทิ้งห่าง” แถมมิหนำซ้ำ ยังทิ้งห่างในทุกสำนักโพลล์ที่ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นประชาชน ล่าสุด ในการสำรวจของ “ไฟว์เธอร์ตีเอท (FiveThirtyEight)” สำนักโพลล์ในเครือธุรกิจของ “วอลท์ดิสนีย์” สหรัฐฯ เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของชาวอเมริกัน เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏว่า คะแนนนิยมของนายไบเดน นำหน้าประธานาธิบดีทรัมป์ เพิ่มขึ้นถึงกว่า 9 จุด โดย “ไฟว์เธอร์ตีเอท” เปิดเผยรายละเอียดของตัวเลขด้วยว่า นายไบเดน มีคะแนนนิยมอยู่ที่ร้อยละ 50.7 ส่วนคะแนนนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์อยู่ที่ร้อยละ 41.1 ทิ้งห่างระหว่างกันมากถึงร้อยละ 9.6 เพิ่มขึ้นจากสำรวจหนก่อนที่ทิ้งห่างกันร้อยละ 8.9 สะท้อนให้เห็นว่า คะแนนนิยมของนายไบเดนทะยานพุ่งสูงขึ้น สวนทางกับประธานาธิบดีทรัมป์ ที่คะแนนนิยมทรุดต่ำลง ทีมนักวิเคราะห์ของไฟว์เธอร์ตีเอท แสดงทรรศนะว่า ปัจจัยที่ทำให้คะแนนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์ ดิ่งเหวหนักขึ้นนั้น ก็มาจากสาเหตุเรื่องการรับมือวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เล่นงานสหรัฐฯ มานานถึงครึ่งปีแล้ว และปัญหาทางสังคมในสหรัฐฯ ล่าสุดด้วย นั่นคือ ปัญหาเรื่องการเหยียดสีผิว จากกรณีการเสียชีวิตของนายจอร์จ ฟลอยด์ จนก่อให้เกิดการชุมนุมประท้วงและลุกลามบานปลายกลายเป็นการจลาจลตามรัฐต่างๆ แทบจะทั่วสหรัฐฯ ตลอดช่วงเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งจนถึง ณ วินาทีนี้ การชุมนุมประท้วงก็ยังดำเนินอย่างต่อเนื่อง นอกจากไฟว์เธอร์ตีเอทโพลล์ ก็ยังมีสำนักโพลล์อื่น ที่แสดงผลออกมาแล้วปรากฏว่า นายไบเดน มีคะแนนนิยมทิ้งห่างอย่างไม่เห็นฝุ่นเหนือประธานาธิบดีทรัมป์ทุกสำนักโพลล์ อาทิ “อีโคโนมิสต์” ที่จับมือกับ “ยูโกฟ” ออกสำรวจความคิดเห็นในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับไฟว์เธอร์ตีเอท ก็ได้ผลออกมาว่า อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยุคโอบามา มีคะแนนนิยมเหนือกว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน อยู่ที่ร้อยละ 49 ต่อ 40 ห่างกันถึง 9 จุด แต่ที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่า ก็เห็นจะเป็นการสำรวจของ “ราสมุสเซนรีพอร์ตส์” ที่จับมือกับ “พัลส์โอพิเนียนรีเสิร์ช” ซึ่งนายไบเดน มีคะแนนนิยมทิ้งห่างประธานาธิบดีทรัมป์ถึง 10 จุด คือ คะแนนนิยมร้อยละ 50 ต่อ 40 ท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังได้เปรียบเหนือกว่าประธานาธิบดีทรัมป์ ณ เวลานี้ ว่าแล้ว ทางนายไบเดน ก็นำเสนอนโยบายเพื่อพลิกฟื้นและกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แบบหวังให้โดนใจชาวอเมริกันแบบทันที ด้วยการนำเสนอแผนเศรษฐกิจที่มีชื่อว่า “บาย อเมริกัน (Buy American)” หรือแปลเป็นไทยว่า “ซื้อของอเมริกัน” หมายถึง การซื้อสินค้าและบริการต่างๆ ของสหรัฐฯ นั่นเอง มิใช่ซื้อสินค้าและบริการของต่างชาติ โดยแผนการข้างต้นก็จะเริ่มจากระดมเพิ่มงบประมาณรัฐ จำนวน 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะเวลา 4 ปี เพื่อนำไปซื้อสินค้าและบริการจากบริษัท หรือผู้ผลิตชาวอเมริกันโดยเฉพาะ นอกจากนี้ ก็ยังเพิ่มงบประมาณอีกจำนวน 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับนำไปสนับสนุนการศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ของสหรัฐฯ ไม่รู้เหมือนกันว่า แผนเศรษฐกิจข้างต้น จะโดนใจอเมริกันชนหรือไม่? แต่ที่แน่ๆ บรรดานักวิเคราะห์แสดงทรรศนะถึงผลพวงของแผนเศรษฐกิจดังกล่าวว่า ไฟสงครามการค้าระหว่างประเทศ จากการกีดกันการค้าระหว่างกัน ซึ่งคุโชนถล่มเศรษฐกิจโลกสมัยประธานาธิบดีทรัมป์ จะยังคงตอกย้ำมิได้บรรเทาเบาบางจางหายไปไหน