วันที่ 13 ก.ค.63 ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะโฆษกศูนย์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.กล่าวถึงกรณีที่นักธุรกิจชาวปากีสถานเดินทางมาประเทศไทย แต่เอกสารไม่ครบ 8 คนจำเป็นต้องกักตัวหรือไม่ ว่า เท่าที่ได้รับรายงานมาทั้งหมด 27 คนมีเอกสารครบ 19 ขาดเพียง 8 คนเท่านั้น ซึ่งเกิดจากการประสานงานล่าช้า ไม่ได้เป็นการลักลอบหรือหลบหนีเข้ามา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปปรับปรุงแก้ไข ดังนั้นขอให้ประชาชนเข้าใจ เมื่อถามว่าคนต่างชาติที่ลักลอบเข้ามาตามแนวชายแดนจะมีการดูแลอย่างไร นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ถ้าเข้ามาถ้าตรวจพบก็จะผลักดันออกไป ซึ่งตัวเลข 3,000 คนเป็นตัวเลขสะสมเดิมอยู่แล้ว แต่อยู่ในพื้นที่ไม่มา แต่ถ้าเข้ามาอยู่ในเมืองต้องกักขังอยู่ที่ส่วนกลาง มีพื้นที่รองรับตั้งแต่ 100 - 1,000 คน ดังนั้นขอความร่วมมือจากประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดนช่วยกันเป็นหูเป็นตาถ้าพบคนไม่คุ้นหน้า ฝากให้ทางการเพื่อช่วยกันดูแลด้วย เมื่อถามว่าเด็กอายุ 9 ขวบ และลูกเรือ ลงเครื่องที่สนามบินอู่ตะเภา แล้วเดินทางไประยอง เหตุใดจึงไม่กักตัว นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า เป็นกรณีศึกษาที่เกิดขึ้น เด็กหญิงที่มากับครอบครัวคณะทูต ซึ่งได้ให้สถานทูตเป็นต้นสังกัดในการกักกัน และเราเชื่อใจ เราให้เกียรติแต่เมื่อพบว่า สถานที่พำนักกลายเป็นคอนโด จึงต้องมีการกำชับและขอให้ร่วมกันรับผิดชอบ และมีมาตรการมากขึ้น และได้ทำความเข้าใจและขอความร่วมมือ และเข้าใจตรงกันว่าจะต้องอยู่ใน 14 วันของท่านจริงๆไม่ใช่ต้องออกมา ส่วนลูกเรือ ที่ติดตามมากับ ผบ.ทบ.สหรัฐฯ ซึ่งจะต้องปฏิบัติให้เสมอกันให้ได้ทุกที่ ก็เป็นข้อเรียนรู้ของพวกเรา คงไม่ไปกล่าวโทษ เนื่องจากเข้ามาในช่วงที่มีการอนุญาต แต่เรื่องข้อต่อ เมื่อไปลงในพื้นที่ทหารต้องมีระบบติดตามไปด้วย ตนในฐานะโฆษกศบค.ก็รู้สึกไม่สบายใจ เพราะไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดเลย หรือตั้งใจทำที่ไม่ถูกไม่ต้อง แต่เป็นจุดที่เราต้องเรียนรู้ร่วมกัน ซึ่งเป็นข้อต่อเป็นรายละเอียดปลีกย่อย และค่อยๆทำร่วมกัน แต่ตอนนี้ยังไม่มีความเสียหายอะไรสามารถควบคุมโรคได้และปิดจุดอ่อน ดังนั้นขอให้ทุกคนดูแลตัวเองให้ดี