คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย การเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกายังคงเหลือเวลาอีกแค่เพียงสามเดือนกว่าๆ โดยขณะนี้คนอเมริกันกำลังให้ความสนใจอย่างจดจ่อว่า “อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน” จะเลือกใครในตำแหน่งรองประธานาธิบดี ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญอันแสนหนักของเขาเลยทีเดียว!!! ส่วนคณะกรรมการกลั่นกรองสรรหาที่จะเสนอชื่อผู้ที่คุณสมบัติเหมาะสม เพื่อส่งต่อให้กับโจ ไบเดนมีทั้งหมด 4 คนด้วยกันอาทิ “อดีตวุฒิสมาชิกคริส ดอดด์” เพื่อนสนิทของโจ ไบเดน เข้ามารับหน้าที่ประธาน ทั้งนี้ โจ ไบเดน เคยออกมากล่าวแถลงอย่างค่อนข้างชัดเจนเมื่อวันที่ 15 มีนาคมนี้ว่า “หากเขาได้รับเลือกเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต เขาจะเลือกสุภาพสตรีเข้ามาในตำแหน่งรองประธานาธิบดี” โดยขณะนี้สุภาพสตรีตัวเต็งๆที่อยู่ในรายชื่อตำแหน่งรองประธานาธิบดีของโจ ไบเดนยังคงเหลืออยู่ 7 คนด้วยกัน หนึ่งในจำนวนนั้นมีชื่อของ “วุฒิสมาชิกลัดดา แทมมี ดักเวิร์ธ” ขวัญใจของชาวไทยรวมอยู่ด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ชื่อของเธอไม่ค่อยได้รับการพิจารณาอย่างจริงจังมากเท่าใดนัก แต่ขณะนี้กลับปรากฏว่า มาแรงพุ่งแซงจนขึ้นมาอยู่ในอันดับต้นๆด้วยเหตุผลที่ว่าเธอเป็นบุคคลที่เหมาะสมที่สุด!!! จากการให้สัมภาษณ์ของวุฒิสมาชิกแทมมี ดักเวิร์ธ ต่อสำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ในรายการ “State of the Union” เธอได้ให้ทรรศนะอย่างที่ไม่เห็นแก่ตัวว่า “ผู้ที่สมควรจะได้รับเลือกในตำแหน่งรองประธานาธิบดีควรจะเป็นหญิงผิวสี” และเธอยังได้เสริมอีกว่า “ดิฉันเชื่อมั่นว่าอดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน คงจะเลือกบุคคลที่เหมาะสมที่สุดเข้าไปร่วมทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา เพื่อแก้ไขปัญหาอันแสนหนักหน่วงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นำพาประเทศสหรัฐฯล่มจมอยู่ในขณะนี้” ในช่วงเกือบสองเดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่มีกรณีของ “จอร์จ ฟลอยด์” ชายผิวสีผู้ที่ถูกตำรวจผิวขาวนายหนึ่งใช้หัวเข่ากดลงบนคอนานกว่าแปดนาทีจนทำให้เขาเสียชีวิต และได้มีการประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรมอย่างต่อเนื่องมาเกือบสองเดือนแล้ว จนมีผลทำให้ปรอทการเมืองของสหรัฐฯพุ่งสูงปรี๊ดทุกอย่างหมุนเปลี่ยนตาลปัตร โดยมีกระแสการเมืองต้องการให้โจ ไบเดนเลือกเอาคนผิวสีเข้ามาร่วมในคณะรัฐบาล แม้กระทั่ง “วุฒิสมาชิกเอมี โคลบาชาร์” นักการเมืองผิวขาวจากรัฐมินนิโซตา ผู้ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะได้รับเลือกในตำแหน่งรองประธานาธิบดีก็ได้ออกมาประกาศถอนตัวไปแล้วเมื่อสองสัปดาห์ก่อน โดยเธอได้เสนอความคิดเห็นอย่างมีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกันว่า “ผู้ที่สมควรจะได้รับตำแหน่งดังกล่าวควรจะเป็นคนผิวสี” อย่างไรก็ตามแผนการณ์เดิมของโจ ไบเดน ที่ต้องการจะประกาศในวันที่ 1 สิงหาคมที่กำลังจะถึงนี้ว่า ใครคือผู้ที่จะได้รับเลือกในตำแหน่งรองประธานาธิบดี? ได้ปรับเปลี่ยนไปโดยเขาออกมาประกาศว่า จะเลื่อนการประกาศออกไปจากเดิม อนึ่งนักการเมืองผิวสีทั้ง 4 คนที่เป็นตัวเต็งได้แก่ “สมาชิกผู้แทนราษฎรวาล เดมิงส์”จากรัฐฟลอริดา ที่เธอได้พิสูจน์แล้วว่า มีฝีปากและคารมที่แสนจะคมคายรวมไปถึงความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเมื่อครั้งที่มีการไต่สวนเพื่อต้องการที่จะถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ออกจากตำแหน่ง “วุฒิสมาชิก คามาลา แฮริส”จากรัฐแคลิฟอร์เนีย สตรีผู้ที่เคยเป็นคู่แข่งคนสำคัญในการแข่งขันการเป็นตัวแทนของพรรคกับอดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน ท่านที่สามได้แก่ “อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติซูซาน ไรซ์” และสี่ “คาเรน เบส” นักการเมืองระดับท้องถิ่นของรัฐแคลิฟอร์เนีย และยังเป็นสมาชิกผู้แทนของสภาคองเกรสมาแล้วเจ็ดปี ส่วน “มิเชลล์ ลูจน กริแซม” ผู้ว่าฯรัฐนิวเม็กซิโก อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯห้าปี ซึ่งเธอมีเชื้อสายแม็กซิกันก็อยู่ในอันดับรองๆลงมา แต่ก็ยังมีผู้ที่อยู่ในข่ายและเป็นคนผิวขาวเพียงคนเดียวนั่นก็คือ “วุฒิสมาชิกอลิซาเบธ วอร์เรน” จากรัฐแมสซาชูเซตส์ ที่เธอผู้นี้ก็เคยเป็นคู่แข่งของโจ ไบเดน แต่ขณะนี้กลับปรากฏว่าเธอได้จับมือร่วมทำงานร่วมกับเขาอย่างแข็งขัน!!! ทั้งนี้ใครก็ตามที่จะได้รับเลือกให้เข้าไปรับตำแหน่งรองประธานาธิบดี แน่นอนแล้วว่าเขาหรือเธอผู้นั้นจะต้องถูกประธานาธิบดีทรัมป์เข้าประหัตประหารกระหน่ำโจมตีอย่างหนักในทันทีที่ปรากฏชื่อออกมา ทั้งนี้การกระหน่ำโจมตีศัตรูทางการเมืองของประธานาธิบดีทรัมป์ นับเป็นสิ่งที่เขาเชี่ยวชาญและถนัดเป็นที่สุด ส่วนกรณีของวุฒิสมาชิกแทมมี ดักเวิร์ธนั้น ประเด็นใหญ่ๆที่ดูเหมือนว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะหยิบยกเอามาใช้เป็นอาวุธโจมตีคงจะอยู่ในประเด็นที่ว่า “เธอมิได้เกิดในสหรัฐอเมริกา” ซึ่งคนอเมริกันส่วนใหญ่กลับคิดว่านั่นมิใช่เรื่องสลักสำคัญแต่อย่างใด ซึ่งเรื่องราวเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับ “อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา” โดยครั้งนั้นประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมากล่าวโจมตีชูในประเด็นที่ว่า อดีตประธานาธิบดีโอบามาเกิดที่ประเทศเคนยา ซึ่งในความเป็นจริงเขาเกิดที่ฮาวาย แต่อย่างไรก็ตามจากการสำรวจของสำนักหยั่งเสียง “YouGov” ได้เคยเปิดเผยไว้เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2017 ว่า สมาชิกพรรครีพับลิกันถึง 51% ยังคงเชื่อว่าอดีตประธานาธิบดีโอบามาเกิดที่ประเทศเคนยา ที่รวมไปถึงสมาชิกพรรคเดโมแครตอีก 14% ก็เชื่อเช่นเดียวกัน ทั้งๆที่อดีตประธานาธิบดีโอบามาได้นำใบเกิดออกมาแสดงให้รู้แจ้งเห็นจริงแล้วก็ตาม แต่กลับถูกประธานาธิบดีทรัมป์ออกมากล่าวแย้งว่า “นั่นเป็นของปลอม” ฉะนั้นการโฆษณาโจมตีของประธานาธิบดีทรัมป์ ถือเป็นการปลุกกระแสที่แสนจะมีอิทธิพลมากทีเดียว และการที่วุฒิสมาชิกแทมมี ดักเวิร์ธ เป็นหนึ่งใน 48 เสียง ที่ยกมือโหวตต้องการที่จะถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ออกจากตำแหน่ง คงจะเป็นหนามยอกอกทิ่มแทงคาอยู่ในหัวใจของเขา และแน่นอนว่าเขาคงหวังจะแก้แค้นตามแบบฉบับทรัมป์ๆอย่างแน่นอน!!! ทั้งนี้ยังเป็นที่น่าสังเกตอีกเช่นกันว่า ในขณะที่วุฒิสมาชิกแทมมี ดักเวิร์ธ กำลังมาแรงแซงขึ้นหน้านักการเมืองคนอื่นๆในตำแหน่งรองประธานาธิบดีอยู่นั้น บรรดาลิ่วล้อลูกสมุนของประธานาธิบดีทรัมป์ได้เริ่มออกมาเคลื่อนไหวโจมตีเธอบ้างแล้วโดยเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมานี้ “ทักเกอร์ คาร์ลสัน” พิธีกรรายการทีวีช่องฟอกซ์นิวส์ได้ออกมากล่าวโจมตีวุฒิสมาชิกดักเวิร์ธว่า “เป็นคนที่มีความเกลียดชังสหรัฐอเมริกา” แต่ได้ถูกวุฒิสมาชิกแทมมีโต้กลับอย่างทันควันว่า “อยากให้ทักเกอร์ คาร์ลสัน มาลองสวมขาเทียมทั้งสองข้างแล้วลองเดินสักหนึ่งไมล์ดูว่า ดิฉันมีความรักและทำทุกอย่างเพื่อสหรัฐอเมริกาหรือไม่?” อนึ่งถึงแม้ว่าวุฒิสมาชิกแทมมีจะถือสัญชาติอเมริกันและเป็นนักการเมืองอาชีพของสหรัฐอเมริกาแล้วก็ตาม แต่เธอก็ยังคงรักและยึดถือวัฒนธรรมอันดีงามของประเทศไทยเอาไว้อย่างมั่นคง ซึ่งเมื่อวันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2019 “อธิการบดีดร.ณรงค์ ชวสินธุ์” ผู้ก่อตั้ง “มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่” และ “รองอธิการบดีชุติมา ชวสินธุ์” รวมทั้งผมได้รับเชิญจาก “คุณเรณุตรา เมฆอุไร”นักธุรกิจคนสำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ ผู้บุกเบิกหมู่บ้าน “กาดฝรั่ง” อันโด่งดังที่อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ โดยเธอมีความใกล้ชิดกับครอบครัวของวุฒิสมาชิกลัดดา แทมมี ดักเวิร์ธ โดยเชิญให้คณะของเราร่วมทำพิธีรับขวัญแบบล้านนา ซึ่งครั้งนั้นมีทั้งสามีและลูกตัวเล็กๆของคุณแทมมีต่างพากันนั่งพนมมือไหว้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าซาบซึ้งและประทับใจเป็นอย่างมากทีเดียว!!! กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นถึงแม้ว่า “วุฒิสมาชิกลัดดา แทมมี ดักเวิร์ธ” จะได้รับตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯหรือไม่?ก็ตาม แต่เธอได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย ที่สมควรแก่การกล่าวคำชื่นชมยกย่อง รวมทั้งให้กำลังใจในขณะที่เธอกำลังเผชิญกับศึกการเมืองครั้งยิ่งใหญ่สุดๆและมีคู่แข่งน่าสะพรึงกลัวที่มีชื่อว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยละครับ