ถูกจับตาจ้องมอง แบบไม่ผิดอะไรกับแสงที่สาดส่องจากสปอตไลท์ ให้โลกต้องจดจำนามของเธออีกคำรบ สำหรับ “แทมมี ดักเวิร์ธ” หรือชื่อเต็ม “ลัดดา แทมมี ดักเวิร์ธ” วุฒิสมาชิกหญิงลูกครึ่งไทย-อเมริกัน แห่งรัฐอิลลินอยส์ สังกัดพรรคเดโมแครต ประเทศสหรัฐฯ โดยสมาชิกสภาซีเนตลูกครึ่งไทย-สหรัฐฯ วัย 52 ปี รายนี้ ได้รับการจับตาจ้องมองมาหลายครั้งหลายหนแล้ว ด้วยวีรกรรมทางทหาร และการสร้างประวัติศาสตร์ในแวดวงการเมืองถิ่นลุงแซม ไล่ไปตั้งแต่วีรกรรมทางทหาร ที่หญิงเหล็กผู้นี้ เป็น “ทหารผ่านศึก” ใน “สงครามอิรัก” ประจำกองบินปีกหมุน ในฐานะ “นักบินผู้ช่วย” ของเฮลิคอปเตอร์ “แบล็กฮอว์ก ยูเอช-60” ซึ่งเฮลิคอปเตอร์ที่เธอประจำการถูกฝ่ายตรงข้ามยิงตกด้วยเครื่องยิงลูกระเบิด เมื่อปี 2547 จนส่งผลให้ร่างกายของเธอทุพพลภาพ เสียอวัยวะขาทั้งสองข้าง และแขวนขาพิการ ต้องใช้ขาเทียม และรถเข็นวีลแชร์ ตราบเท่าทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม ทหารผ่านศึกลูกครึ่งไทยรายนี้ ไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา ได้หันมาโลดแล่นบนถนนการเมือง จนสามารถสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในแวดวงการเมืองสหรัฐฯ ด้วยการเข้าเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครต ลงสมัครับเลือกตั้ง จนได้รับเลือกตั้งทั้งในการแข่งขันชิงเก้าอี้ ส.ส. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และ ส.ว. สมาชิกวุฒิสภา เขต 8 นครชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ อันเป็นเขตเดียวกับที่อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา แห่งสหรัฐฯ เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาซีเนตในพื้นที่ดังกล่าวมาก่อน เรียกว่า “แทมมี” นั่งเก้าอี้ ส.ว. แทนนายโอบามา ที่ไปชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในทำเนียบขาวเลยก็ว่าได้ ก็ถือเป็นความภาคภูมิใจของชาวไทยที่ลูกครึ่งอเมริกันสายเลือดไทยรายนี้ ที่มีเชื้อสายไทยคนแรก ที่ได้นั่งเก้าอี้ผู้ทรงเกียรติในสภาคองเกรสสหรัฐฯ ทั้งในตำแหน่ง ส.ส. และ ส.ว. และในระหว่าง “แทมมี” ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ไว้หลายประการ ด้วยการเป็นสายเลือดไทยคนแรกที่ได้ดำรงตำแหน่ง “ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงกิจการทหารผ่านศึกของสหรัฐฯ” สมัยประธานาธิบดีโอบามา รวมถึงเป็นนักการเมืองหญิงคนแรกที่ให้กำเนิดบุตร ในระหว่างที่เธอดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาซีเนตสหรัฐฯ อีกด้วย หลังจากที่ก่อนหน้าเคยสร้างประวัติศาสตร์ ด้วยการสตรีทุพพลภาพคนแรกที่ได้เป็น ส.ส.สหรัฐฯ ด้วยเกียรติประวัติอันโดดเด่นที่สั่งสมมาข้างต้น ก็ส่งผลให้ ล่าสุด “แทมมี” ได้รับการจัดให้เป็น “หนึ่งในตัวเลือก” ของ “นายโจ ไบเดน” ผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระดับตัวเก็งของพรรคเดโมแครต ที่จะให้มาชิงชัยในฐานะ “รองประธานาธิบดี” ของเขา ในการสู้ศึกเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันอังคารที่ 3 พ.ย.ปลายปีนี้ โดยมีรายงานว่า นายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยบารัก โอบามา รายนี้ อาจจะใช้ยุทธศาสตร์ “รองประธานาธิบดี” ที่เป็น “สุภาพสตรี” คือ “รองประธานาธิบดีหญิง” มาสู้ศึกเลือกตั้งกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครเจ้าของตำแหน่งจากพรรครีพับลิกัน พลันที่ชื่อของ “แทมมี” เป็นแคนดิเดต บรรดานักวิเคราะห์ที่เป็นคอการเมืองสหรัฐฯ ระดับฮาร์ดคอร์ ก็แสดงทรรศนะเกี่ยวกับนโยบายของสหรัฐ ด้านกิจการต่างประเทศโดยทันที หาก “แทมมี” ผู้นี้ นั่งเก้าอี้รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ นอกเหนือจากกิจการด้านทหารผ่านศึก ที่ “แทมมี” คร่ำหวอดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยเหล่านักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า นโยบายการสกัดกั้นอิทธิพลจีนในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านทะเลจีนใต้ และทะเลจีนตะวันออก จะถูกขับเคลื่อนอย่างขนานใหญ่ ทั้งนี้ ทรรศนะข้างต้น ก็ต้องบอกว่า มิใช่การมโนอย่างเลื่อนลอย แต่อยู่บนพื้นฐานจากผลงานของ สมาชิกคองเกรสหญิงลูกครึ่งไทยรายนี้เมื่อครั้งอดีต ที่เคยฝากไว้ในฐานะหนึ่งในสมาชิกวุฒิสภา ที่ผลักดันกฎหมายว่าด้วยบทลงโทษในทะเลจีนใต้และทะเลจีนตะวันออก เมื่อปีที่แล้ว คือ 2562 ที่ผ่านมานั่นเอง ซึ่งมุ่งเป้าถล่มไปที่จีน ซึ่งมีบทบาทในน่านน้ำทะเลทั้งสองเป็นสำคัญ อย่างไรก็ดี ใช่ว่า “แทมมี” จะก้าวขึ้นสู่วิถีผู้สมัครรองประธานาธิบดีได้อย่างง่ายๆ เพราะนายไบเดน ก็มีตัวเลือกที่เป็นนักการเมืองสุภาพสตรีคนอื่นๆ อีกอย่าง 13 คน เป็นตัวเลือก ซึ่งแต่ละนางล้วนมีประวัติไม่บันเบาเช่นกัน ยกตัวอย่าง นางซูซาน ไรซ์ อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบขาว และนางเอลิซาเบธ วอร์เรน ส.ว.รัฐแมสซาชูเซตส์ เป็นอาทิ