คอลัมน์ “ด้วยสมองและสองมือ” อีกนวัตกรรมจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารกระบัง (สจล.) เพื่อการอยู่ร่วมกันในยุคหลังโควิด-19 (Design disruption) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า ตลอดช่วงเวลาการแพร่ระบาดของโควิด-19 สจล.ได้พัฒนานวัตกรรมเพื่อช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ ตรวจคัดกรอง และรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 อาทิ นวัตกรรมตู้ตรวจเชื้อความดันลบ ความดันบวก รถตู้โมบายล์ Swab TestระบบAIคัดกรองอุณหภูมิ เป็นต้น ซึ่งนวัตกรรมดังกล่าวเป็นผลสำเร็จจากการบูรณาการองค์ความรู้ด้านต่างๆ หนึ่งในองค์ความรู้ที่มีบทบาทสำคัญคืองานออกแบบอันชาญฉลาด ที่มีส่วนอย่างยิ่งในการผลิตนวัตกรรมที่ใช้ได้จริง และเป็นประโยชน์ต่อสังคม ซึ่งแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะคลี่คลายลง แต่งานออกแบบจะยังคงมีบทบาทในการช่วยเหลือสังคมต่อไป โดยเฉพาะด้านการออกแบบที่เปลี่ยนไปเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างปลอดภัยในยุคหลังโควิด-19 (Design disruption) โดย สจล.ได้เปิดตัว 3 แนวคิดดีไซน์ดิสรัปชัน ประกอบด้วย 1.งานออกแบบเพื่อสุขอนามัยส่วนตัวในพื้นที่ส่วนรวม ถึงแม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะคลี่คลายลง ผู้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติในพื้นที่สาธารณะมากขึ้น แต่การดูแลสุขอนามัยส่วนตัวในพื้นที่ส่วนร่วมยังคงเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ งานออกแบบจึงต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น การเว้นระยะห่างทางสังคม (Social distancing) การติดตั้งระบบฆ่าเชื้อด้วยUV-Cหรือสเปรย์แอลกอฮอล์ตามจุดต่างๆ การเลือกใช้วัสดุที่ลดความเสี่ยงการติดเชื้อ การออกแบบระบบกรองอากาศเพื่อป้องกันเชื้อโรค เป็นต้น 2.งานออกแบบเพื่อความสะดวกต่อผู้ใช้งาน และเพื่อความสวยงาม นอกจากหลักการออกแบบที่ต้องคำนึงถึงสุขลักษณะแล้ว การออกแบบยังต้องคำนึงถึงความสะดวกต่อการใช้งาน (User friendly) โดยหลักการออกแบบเพื่อผู้ใช้ทุกกลุ่ม (Universal design) จะต้องคิดครอบคลุมมากขึ้น ไปถึงการออกแบบให้ทุกคนเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกได้อย่างปลอดภัย และปลอดเชื้อไปพร้อมกัน การออกแบบเพื่อความสวยงามก็ยังต้องพัฒนาควบคู่กันไป 3.งานออกแบบที่สังคมเข้าถึงได้ อีกหนึ่งแนวคิดที่สำคัญอย่างยิ่งของดีไซน์ดิสรัปชันคือ การออกแบบต้องสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้จริงในสังคม ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่ต้องวางแผนกระบวนการผลิตงานออกแบบออกมาเป็นจริงได้ ตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุ คำนวณต้นทุน ปริมาณการผลิตที่สมเหตุสมผล ตลอดจนการประเมินความสามารถการใช้งานได้จริงแต่ละพื้นที่ เป็นต้น เพื่อให้งานออกแบบสามารถทำประโยชน์ให้แก่สังคมได้เป็นวงกว้าง ศ.ดร.สุชัชวีร์กล่าวว่า สจล.ได้นำร่องประยุกต์ใช้แนวคิดการออกแบบดังกล่าว ในห้องเรียนที่จะเปิดภาคเรียนในเดือนสิงหาคม ที่จะยังคงมีการเรียนทั้งในรูปแบบออนไลน์ และการเรียนในห้องเรียนอย่างปลอดภัยภายใต้สิ่งอำนวยความสะดวก และมาตรการป้องกันการติดเชื้อ จากผลสำรวจพบว่า นักศึกษา 52.5% มีความสุขในการเรียนแบบStudy from Homeในระดับน้อยที่สุด เนื่องจากอุปสรรคด้านบรรยากาศที่ไม่เอื้ออำนวยถึง 71.4% และปัญหาด้านอินเทอร์เน็ตและการสื่อสาร 62.4% ฯลฯ อย่างไรก็ตาม สจล.ยังคงเดินหน้าพัฒนาระบบการเรียนรูปแบบออนไลน์ควบคู่ไปกับการเรียนในห้องเรียนแบบ New Normal เพื่อความพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ในอนาคต อีกทั้งผลสำรวจยังพบว่าคนทั่วไปและนักศึกษา 90% พร้อมที่จะให้ความร่วมมือและใช้สิ่งอำนวยความสะดวกที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ด้านผศ.ดร.อันธิกา สวัสดิ์ศรี คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ กล่าวว่า คณะได้เตรียมนำแนวคิดดีไซน์ดิสรัปชันมาประยุกต์ใช้ในงานออกแบบในพื้นที่ความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ และพื้นที่สาธารณะที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก หลังมาตรการคลายล็อกดาวน์เฟส 5 ซึ่งมีแนวโน้มที่ผู้คนจะเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามวิถีชีวิตปกติรูปแบบใหม่มากยิ่งขึ้น โดยตัวอย่างพื้นที่สาธารณะที่คณะกำลังเดินหน้าพัฒนางานออกแบบเพื่อยกระดับการอยู่ร่วมกันอย่างปลอดภัย ได้แก่ งานออกแบบในโรงเรียน ต้องคำนึงถึงการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม ที่ต้องรักษาระยะห่าง (Physical distancing) โดยใช้ระบบแบ่งกลุ่มจำนวนนักเรียนต่อห้อง การใช้ที่กั้นระหว่างโต๊ะเรียน โต๊ะอาหาร เป็นต้น งานออกแบบในโรงพยาบาล ต้องให้ความสำคัญกับการคัดกรองผู้มีความเสี่ยงติดเชื้อ รวมทั้งโรคติดต่ออื่นๆ โดยตั้งจุดคัดกรองตั้งแต่ก่อนเข้าอาคาร อาจใช้ระบบออกแบบห้องตรวจคัดกรองแบบความดันบวก เพื่อให้แพทย์ใช้ตรวจคัดกรองผู้มีความเสี่ยงติดเชื้ออย่างปลอดภัย ติดตั้งระบบกรองอากาศในบริเวณที่แพทย์ต้องทำหัตถการให้แก่ผู้มีความเสี่ยงติดเชื้อ เป็นต้น ขณะที่ การออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวกในบ้าน ซึ่งแม้จะเป็นพื้นที่ส่วนตัว แต่ก็ต้องมีการออกแบบที่รองรับการอยู่ร่วมกันของคนแต่ละวัยอย่างปลอดภัย โดยลักษณะทั่วไปของครอบครัวไทย จะมีคน 4 รุ่น อาศัยอยู่ร่วมกัน ได้แก่ รุ่นปู่ย่าตายาย รุ่นพ่อแม่ รุ่นลูก และเด็กเล็ก ซึ่งคนในกลุ่มวัยทำงานและวัยเรียนมีโอกาสสัมผัสเชื้อมากกว่าผู้ที่อยู่แต่ในบ้าน ขณะที่กลุ่มผู้สูงอายุ รุ่นปู่ย่าตายายมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย ด้วยระบบภูมิคุ้มกันที่ต่ำกว่า การอยู่ร่วมกันในบ้าน จึงต้องมีการแบ่งเขต ระหว่างคนวัยเรียน ทำงาน และผู้สูงอายุ เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อจากผู้ที่ออกไปข้างนอกเป็นประจำ โดยอาจออกแบบให้ผู้สูงอายุอยู่ในห้องนอนติดกระจกใสชั้นล่าง เพื่อให้ยังมองเห็นคนในครอบครัว และไม่รู้สึกว่าถูกแยกขาดจากกันมากเกินไป นอกจากนี้ แม้ว่าสถานที่ทำงานหลายแห่งจะกลับมาเปิดทำการตามปกติ แต่แนวโน้มการทำงานจากที่บ้านจะมีเพิ่มขึ้น ดังนั้น การออกแบบบรรยากาศ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เอื้อต่อการทำงานที่บ้าน ก็เป็นอีกเทรนด์ออกแบบที่น่าสนใจ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักบริหารงานทั่วไปและประชาสัมพันธ์ สจล. 0-2329-8111 และเฟซบุ๊กแฟนเพจ www.facebook.com/kmitlofficial