"อนุดิษฐ์" ให้ฉายานายกฯ "บิดาแห่งความเหลื่อมล้ำ ผู้นำแห่งการก่อหนี้" ติงจัดงบปี 64 ไม่ฟื้น ศก. หลังโควิด ชี้ ประมาณการจัดเก็บรายได้ผิด หวั่นหนี้สาธารณะเต็มเพดาน ขณะที่หลายโครงการส่อทุจริต นายกฯ แจงต้องคิดทั้งวงจร สร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการลงทุน ไม่ใช่โครงการที่ไม่ก่อรายได้ เมื่อวันที่ 1 ก.ค. ที่รัฐสภา น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวอภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี ว่า ตนได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีมาหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนที่น่าห่วงใย และกังวลมากเท่าครั้งนี้ เนื่องจากข้อห่วงใยประการแรกคือโครงสร้างของงบประมาณที่รายจ่ายไว้เป็นจำนวนไม่เกิน 3.3 ล้านล้านบาท แบ่งออกได้เป็น 3 รายการใหญ่ๆ คือ 1.รายจ่ายประจำ 2.526 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 76.5 2.รายจ่ายลงทุน 6.74 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 20.5 และ 3.รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 99,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3 เมื่อพิจารณารายจ่ายประจำ และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ซึ่งรวม แล้วเป็นเงินจำนวน 2.625 ล้านล้านบาท ในขณะที่รายได้ที่มาจากการจัดเก็บภาษีประมาณไว้ 2.677 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนที่ใกล้กันหากการจัดเก็บภาษีเป็นไปตามประมาณการ แต่หากการจัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่าประมาณการ ไม่มีเงินเหลือที่จะพัฒนาปรับปรุงหรือลงทุนเพื่อเพิ่มรายได้ยกเว้นจะต้องไปกู้มาเพิ่ม ซึ่งตนเชื่อว่าไม่สามารถเก็บได้ตามเป้า ขณะที่รายจ่ายประจำสูงขึ้นเรื่อยๆ ปีนี้ขึ้นเป็น 2.526 ล้านล้านบาท เฉลี่ยโตขึ้น 2.22 เท่า ในขณะที่รายจ่ายลงทุนปี 6.74 แสนล้านบาท หรือโตขึ้นแค่ 1.8 เท่า เพราะรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจสร้างรัฐราชการ จึงทำให้มีรายจ่ายประจำสูงขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่าง กองทัพไทยมีหน่วยงานที่ซ้ำซ้อน ยิ่งเมื่อพิจารณาถึงภารกิจด้านการป้องกันประเทศที่ภัยคุกคามเปลี่ยนแปลงรูปแบบเป็นการก่อการร้าย การรบกันด้วยกำลังพลที่มาก เหมือนสมัยสงครามโลกจะไม่มีอีกแล้ว การที่มีกำลังพลมากเกินความจำเป็นจึงภาระกับงบประมาณของประเทศ และยังเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น ภารกิจแรกที่รัฐบาลจะต้องทำคือการลดจำนวนข้าราชการลง เพื่อลดรายจ่ายประจำที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้มากที่สุด และทำให้กลายเป็นรัฐของประชาชน จะสามารถทำให้เก็บภาษีได้มากขึ้นและนำเงินก้อนนั้นมาพัฒนาประเทศต่อไป แต่ตรงกันข้ามแทนที่จะลดกำลังพลที่ไม่จำเป็น แต่กลับการให้วันเวลาทวีคูณกับทหารตำรวจตำแหน่งนายพลทั่วประเทศ หรือการให้สองขั้นกับพวกที่มาช่วยงาน คสช. งบประมาณเกือบแสนล้านบาท น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังจะเสียฐานภาษีสำคัญ ก่อนหน้านี้ประเทศได้มีกฎหมาย และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อจูงใจให้มีการลงทุนในประเทศ มูลค่าการส่งออกโดยเฉพาะรถยนต์ รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าอีก รวมเป็นร้อยละ 15 ของ GDP ของประเทศ แต่เมื่อสองเดือนที่ผ่านมาหลายบริษัทกำลังจะปิดตัวในไทยและย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้าน แต่รัฐบาลได้เตรียมฐานการผลิตภาษีใหม่มาแทนหรือยัง เพราะหากยังปีหน้าจะกลายเป็นหายนะอีกเช่นกัน ขณะเดียวกันตนพิจารณางบประมาณที่เพิ่มขึ้น งบกลางเพื่อแก้โควิด 40,325 ล้านบาท ซ้ำซ้อนกับ พ.ร.ก.กู้เงิน และไม่ก่อให้เกิดการผลิตที่จะนำมาซึ่งภาษี, กระทรวงการคลังเพิ่มขึ้น 21,075 ล้านบาทที่เป็นรายการใช้จ่ายเพื่อชำระหนี้ และดอกเบี้ยซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดการผลิต, กระทรวงคมนาคมโดยกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทเพิ่มขึ้น 16,687 ล้านบาท และกระทรวงมหาดไทยโดยกรมส่งเสริมการปกรองท้องถิ่นและกรมโยธาธิการและผังเมืองเพิ่มขึ้น 12,773 ล้านบาท งบประมาณที่เพิ่มขึ้นคือการสร้างถนนซึ่งเป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานแบบเก่าไม่ตอบโจทย์ของโลกหลังโควิด เช่น อุตสาหกรรมอาหารปลอดภัย, อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ, และอุตสาหกรรมการแพทย์และสาธารณสุข เป็นต้น น.อ.อนุดิษฐ์ ชี้แจงว่า ฐานะทางการคลังของรัฐบาลมีความเปราะบางและสุ่มเสี่ยงต่อการล้มละลาย รัฐบาลกู้เองโดยตรงและหนี้ที่รัฐบาลค้ำประกันทั้งสิ้น 6.98 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 43.8 ของจีดีพี หน้าเป็นห่วงว่าถ้าการประมาณการรายได้ผิดและไม่สามารถเก็บภาษีได้ตามเป้า นั่นหมายความปีงบประมาณต่อไปเหลือให้กู้ได้ไม่เกินร้อยละ 60 ของจีดีพีจะเต็มเพดานและจะไม่สามารถกู้เงินมาพัฒนาเศรษฐกิจได้อีก ซึ่งจากสถิติก็เห็นได้ชัดเจนว่ารัฐบาลจัดเก็บรายได้ต่ำไว้กว่าที่ประเมินมา 6 ปีแล้วตั้งแต่ปี 2557 ถึงตอนนี้ แปลว่าประชาชนขาดกำลังซื้อจึงทำให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีได้น้อยลง แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มตกต่ำมาตั้งแต่การยึดอำนาจ เฉลี่ยตั้งแต่ปีงบประมาณ 2558-2562 รวม 5 ปีชำระหนี้เงิน ต้นไปจำนวน 220,875 ล้านบาท เฉลี่ยแล้วชำระคืนต้นเงินกู้ประมาณปีละ 44,000 ล้านบาท หากรวมหนี้ที่กู้มาชดเชยการขาดดุลงบประมาณรวม 2.791 ล้านล้านบาท จะต้องใช้เวลาชำระคืนถึง 64 ปียังไม่นับรวมหนี้เงินกู้ตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 1.1 ล้านล้านบาท หรือหนี้ที่จะต้องกู้ในปีงบประมาณ 2565 ถ้ายังสามารถกู้ได้ซึ่งอาจต้องใช้เวลาเกือบ 100 ปีจึงจะชำระหมด ตอนนี้รัฐบาลจะก่อหนี้ได้ไม่เกิน 2.4 ล้านล้านบาทที่เป็นยอดเต็มเพดานการก่อหนี้เมื่อรวมเงินกู้ตาม พ.ร.ก.กู้เงิน และที่ต้องกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณปี 2564 จึงเหลือวงเงินที่จะก่อนหนี้ได้ภายในปี 2564 อีกประมาณ 750,000 ล้านบาท และหากมีเหตุอันไม่คาดฝันเกิดขึ้นจะทำให้ยอดหนี้สาธารณะสูงจนกู้เงินไม่ได้อีก ดังนั้นวันนี้นายกรัฐมนตรีจึงกลายเป็นผู้นำของไทยที่กลายเป็น "บิดาแห่งความเหลื่อมล้ำ ผู้นำแห่งการก่อหนี้" ซึ่งหากอนาคตหนี้เต็มเพดานและรัฐบาลก่อหนี้ไม่ได้อีกจะเป็นปัญหากับการพัฒนาประเทศ ตอนนี้ประชาชนไม่มีรายได้แต่หนี้สูง โจทย์คือรัฐบาลจะเพิ่มกำลังซื้อในประเทศได้อย่างไร การเยียวยาที่จะจบในเดือนนี้ก็ยิ่งจะทำให้สถานการณ์แย่ลงอีก ตัวเลขคนตกงานจะพุ่งนี้เป็น 7-10 ล้านคน รัฐบาลได้เตรียมอะไรไว้แล้วบ้างนอกจากการขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่สิ่งที่น่าผิดหวังคือการจัดทำงบประมาณในปีนี้กลับไม่มีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับความจำเป็นตอนนี้ แถมยังมีข้อมูลหลายส่วนที่ส่อไปในทางทุจริต ฮั๊วประมูล ล็อกสเปก รัฐบาลกลายเป็นพ่อค้าหาบเร่ขายงบประมาณให้กลุ่มทุน จากนั้นนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวตอบว่า การจัดงบประมาณเป็นการวางโครงการไว้ในอนาคต เพราะโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น ถนน ยังไม่เพียงพอ และเตรียมสำหรับการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษในอนาคต ทั้งนี้ตนพูดแล้วก็ทำ ไม่เหมือนหลายรัฐบาลที่ผ่านมาที่ไม่เคยทำแบบนี้ได้ ตนเห็นว่าทุกคนมีผลกระทบ อาจจะมีการลดค่าแรงไปบ้าง แต่ข้อสำคัญคือภาคเอกชนจ้างงานต่อ ส่วนการจัดเก็บงบประมาณไม่พอเพียง เนื่องจากบางปีมีการประมูลของ กสทช. หรือบางปีประชาชนเดือดร้อนก็จะเก็บไม่ได้เท่าที่ตั้งไว้ แต่ตอนนี้กำลังใช้ระบบออนไลน์มาตรวจสอบการจัดเก็บภาษีเพื่อชัดเจนมากขึ้น ช่วงนี้เป็นช่วงของการพื้นฟูและการส่งต่อแต่ต้องใช้เวลา การแจกเงินก็ไม่ใช่แจกเพื่อการเมืองคือหว่านให้ทุกคน แต่ต้องเลือกกลุ่มให้ถึงคนที่เดือดร้อนจริงๆ ส่วนการใช้หนี้สาธารณะ หลายประเทศมีหนี้จำนวนมาก แต่มีหน่วยงานสำหรับการใช้หนี้อยู่แล้ว หลายข้อเสนอบอกว่าอยากให้ประเทศไทยเป็นแหล่งอาหารโลก ส่งเสริมการเกษตร แต่ต้องคิดถึงอุปสงค์และอุปทาน แต่ต้องคิดถึงการลดต้นทุนด้วย ไม่ใช่ผลิตมากๆ แล้วต้นทุนสูงก็ไปสู้เขาไม่ได้ ทำอะไรต้องคิดให้ครบทั้งวงจร นี่คือสิ่งที่ยากและทำมาหลายปีกันแล้วก็ทำไม่ได้ ส่วนการย้ายฐานการผลิต ตนไปตรวจสอบเป็นเพียงฐานการผลิตชิ้นเล็กๆน้อยๆ ส่วนของไทยจะเพิ่มการผลิตสินค้าใหม่ๆ ขึ้นมาก ซึ่งตนสอบถามมานานแล้ว ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ยังยืนยันว่าทหารไทยกับทหารต่างประเทศมีภารกิจต่างกัน ทหารไทยต้องดูแลประเทศ ดูแลชายแดน อยากให้ดูกฎหมายทุกตัว ไม่ใช่ดูแค่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วถ้าไม่ทำอย่างนั้นมาแล้ววันนี้จะมานั่งประชุมสบายๆ แบบนี้ได้ไหม ส่วนฉายาที่ฝ่ายค้านให้ นายกรัฐมนตรีหัวเราะแล้วตอบกลับว่าไม่อยากไปให้ฉายาท่านกลับเหมือนกัน