นายอุตตม สาวนายน รมว.คลังเปิดเผยว่า ได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)และธนาคารพาณิชย์ถึงข้อกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์หนี้เสียที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งได้รับการยืนยันว่า เรื่องดังกล่าวไม่น่ากังวล เพราะทั้งธปท.และธนาคารพาณิชย์ได้มีแนวทางรับมืออยู่แล้ว เพราะเคยผ่านวิกฤตมาก่อน ขณะเดียวกันขณะนี้ธนาคารพาณิชย์ก็มีความแข็งแกร่ง อย่างไรก็ดี ในส่วนของคลัง ก็ไม่ได้วางใจ ซึ่งขณะนี้ ก็เตรียมพร้อมที่จะเสริมความเข้มแข็งให้แก่ภาคธุรกิจ ทั้งนี้เหตุที่ ธปท.และแบงก์พาณิชย์ไม่กังวล เพราะดูแลเรื่องดังกล่าวอย่างเต็มที่ และตอนนี้สถานการณ์เงินกองทุนเข้มแข็ง และอย่าลืมว่า แบงก์ผ่านวิกฤตมาแล้ว เขารู้จะเตรียมตัวอย่างไร สำคัญมาก ธปท.ผ่านมาแล้ว รอบนี้รู้เรื่องการดูแลระบบแบงก์ทำอย่างไร แต่ไม่ได้วางใจไม่ดูแลกันเลย “ขอย้ำว่า ไม่มีความกังวลในเรื่องนั้น ถือเป็นข้อดี วิกฤตครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่ธนาคารพาณิชย์มีความแข็งแกร่ง เป็นวิกฤติที่มาจากความต้องการ ไม่ใช่อุปทาน หรือของไม่ดี ถ้าเศรษฐกิจเริ่มผ่อนคลาย สถานการณ์โดยตัวเองจะกลับมา” โดยเราไม่ได้วางใจ ที่ผ่านมาเราทำมาตลอดในการดูแลผู้ประกอบการให้มีสภาพคล่อง พอเหตุการณ์เริ่มผ่อนคลายเศรษฐกิจเริ่มฟื้นเราต้องดูแลให้เขามีกำลังเดินใหม่หรือขยายงานได้ ดังนั้นวันนี้มาหารือว่า จะหาแนวทางดูแลพวกที่อยู่ชายขอบอย่างไร และช่วงฟื้นฟูจะมีมาตรการไปช่วย วันนี้เริ่มถกกัน แต่ยังไม่สรุป สำหรับหนึ่งในแนวทางการดูแลผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในขณะนี้คือ การใช้กองทุนที่จะมีการจัดตั้งขึ้นมาใหม่มาสนับสนุนด้านเงินทุน โดยกองทุนนี้จะมีสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.)เป็นผู้ดูแล โดยก่อนหน้านี้รัฐบาลมีมาตรการสนับสนุนเงินทุนเพื่อแป็นสภาพคล่องแก่เอสเอ็มอีผ่านซอฟท์โลนของธปท.และธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่ดี โดยซอฟท์โลนของ ธปท.สามารถปล่อยได้แล้วราว 9 หมื่นล้านบาท เมื่อถามถึงเรื่องที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ในเดือน ก.ค.63 ธุรกิจจะทยอยปิดกิจการมากขึ้น นายอุตตมกล่าวว่า หลังจากนี้กระทรวงการคลังจะต้องเร่งคิดมาตรการช่วยขยายธุรกิจ ปรับโครงสร้างธุรกิจให้กับผู้ประกอบการเหล่านี้อยู่ได้ เพื่อให้รักษาการจ้างงานไว้