สกพอ.เตรียมเสนอ ศบค.พิจารณา Business Bubble ในพื้นที่อีอีซี หนุนลงทุนต่อเนื่อง ระบุโควิด-19 กระทบน้อย ยอดขอบีโอไอลดแค่ 10% เผยครึ่งปีหลังฟื้นตัว นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.)เปิดเผยผลประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิศษภาคตะวันออก (กพอ.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯว่า สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) จะเสนอแนวทางผ่อนปรนการเดินทางระหว่างประเทศแบบ Business Bubble เป็นลำดับแรกในพื้นที่เฉพาะเจาะจง อาทิ พื้นที่อีอีซี ให้ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.)ต่อไป เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยและต่างประเทศมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อรองรับบุคลากรภาคธุรกิจในพื้นที่อีอีซีให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สกพอ.อยู่ระหว่างหารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงสาธารณสุข ถึงแนวทางผ่อนปรนการเดินทางเข้าประเทศไทย ได้แก่ การสร้างภาคีเครือข่ายองค์กร บุคลากรทางการแพทย์ในประเทศต้นทางกับสถานเอกอัครราชทูตไทยหรือสถานกงสุลใหญ่ จัดให้มีการตรวจและออกใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่าผู้เดินทางมีสุขภาพเหมาะสมกับการเดินทางทางอากาศ (Fit to Fly) การขึ้นทะเบียนสถานที่และการบริการ Alternative State Quarantine เพิ่มเติมในพื้นที่อีอีซี และทบทวนข้อกำหนด หรือมาตรการให้บุคลากรต่างชาติสามารถทำภารกิจในพื้นที่ได้คล่องตัวยิ่งขึ้น สำหรับกลุ่มบุคลากรภาคธุรกิจในพื้นที่อีอีซีจากประเทศญี่ปุ่น อาทิ หอการค้าประเทศญี่ปุ่น (Japanese Chamber of Commerce : JCC) และองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น ETRO) ภาคธุรกิจจากสาธารณรัฐเกาหลี และประเทศอื่นที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสหกรรมได้ยื่นหนังสือถึงภาครัฐขอให้ผ่อนคลายการเดินทางเข้าประเทศ เพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ รวมถึงการส่งช่างเทคนิคเข้ามาตรวจสอบซ่อมบำรุงเครื่องจักรในอุตสาหกรรม และเพื่อสนับสนุนการลงทุนในพื้นที่ต่อเนื่อง นอกจากนี้ที่ประชุมรับทราบการจัดทำแผนพัฒนาการเกษตรในพื้นที่อีอีซีที่มีเป้าหมายยกระดับรายได้เกษตรกรให้เทียบเท่ากลุ่มอุตสาหกรรมและบริการ โดยแนวทางการพัฒนานั้นได้แก่ 1.ใช้ความต้องการนำการผลิต ได้แก่ ความต้องการในประเทศรองรับมหานครการบินภาคตะวันออก เมืองใหม่ และการท่องเที่ยว ส่วนความต้องการในต่างประเทศสำรวจตลาดหาความต้องการเอเชีย CLM) และยุโรป ที่มีความต้องการสูง สร้างความต้องการด้วยการพัฒนาสินค้าใหม่ 2.ยกระดับการตลาด-การแปรรูป-การเกษตร ด้วยเทคโนโลยีในทุกขั้นตอน ได้แก่ สร้างตลาดด้วยกลไก e-commerce e-auction ขายไปทั่วโลก เชื่อมระบบโลจิสติก ตั้งแต่ส่งออก-ขายในประเทศ-จนถึงการรวมสินค้าระดับฟาร์ม ให้สะดวกระดับสากล แปรรูปด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ได้สินค้าคุณภาพมาตรฐานระดับโลก เก็บรักษาผลไม้ อาหารทะเล ด้วยระบบห้องเย็น สร้างงานวิจัยเชิงด้านเทคโนโลยีที่ใช้งานได้จริงตรงกับความต้องการในทุกขั้นตอน ตั้งแต่หีบห่อ การแปรรูป การปลูก การควบคุมความเสี่ยงจากภูมิอากาศ จัดกลุ่มเกษตรกร จัดทำโซนนิ่ง เพื่อสะดวกในการเสริมสร้างความรู้ใหม่ การตลาด-การผลิต-การเงิน 3.ให้ความสำคัญกับเกษตร 5 คลัสเตอร์ที่มีพื้นฐาน ทำได้ทันทีได้แก่ ผลไม้-พืช Bio-Based 3-ประมง-สมุนไพร-พืชมูลค่าสูง (ไม้ประดับ/ผักปลอดสารพิษ) โดยได้แต่งตั้งคณะทำงานจัดทำแผนพัฒนาการเกษตรในพื้นที่อีอีซีที่มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน และมีผู้แทนจาก สกพอ. เป็นเลขานุการร่วม รวมทั้งโครงการจัดหาพลังงานสะอาด (พลังงานแสงอาทิตย์) ในพื้นที่อีอีซี โดยให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เสนอโครงการพลังงานที่ใช้ในเมืองใหม่ รูปแบบพลังงานอัจฉริยะ (Smart Power Supply: SPS) ในลักษณะการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เอง หรือ Independent Power Supply (IPS) ซึ่งมอบหมายให้ บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผลิตไฟฟ้าเพื่อส่งให้ กฟภ.รับซื้อ และส่งจำหน่ายสำหรับใช้ในเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ สำหรับอัตราค่าไฟฟ้าที่จะใช้ในมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะไม่สูงกว่าราคาไฟฟ้าทั่วไปที่ กฟภ.ขายให้กับผู้ใช้ไฟฟ้ารายอื่นๆ โดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ได้รายงานข้อมูลคำขอในภาพรวมลดลงร้อยละ 27 และในกลุ่มอีอีซี ลดลงร้อยละ 10 จากปัญหาโควิด-19 ถือว่าผลกระทบต่อการลงทุนในอีอีซีไม่เยอะมากนักลดลงเพียงเล็กน้อย ซึ่งผลกระทบมากที่สุดในไตรมาสที่ 2 ส่วนในไตรมาส 3-4 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ 3 อันดับแรกของประเทศที่เข้ามาลงทุนประกอบด้วย จีน ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ รวมทั้งในวันนี้ที่ประชุมได้จัดทำแผนการพัฒนาการเกษตรในพื้นที่อีอีซีใช้รูปแบบความต้องการตลาดนำการผลิตการยกระดับการตลาด การแปรรูป และการให้ความสำคัญเกษตร 5 กลุ่ม ผลไม้ พืชไบโอ ประมง สมุนไพร และพืชมูลค่าสูง โดยที่ประชุมเห็นควรให้ดำเนินการโดยเร็ว