นายเขมทัตต์ พลเดช กรรมผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า จากกระแสข่าวที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับหนังสือที่ทำถึงสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีผลกระทบกับภาพลักษณ์ขององค์กร บมจ.อสมท เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (ตลท.) ข่าวที่เกิดขึ้นจึงมีผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นจึงขอใช้โอกาสนี้ในการชี้แจง การดำเนินการเกี่ยวกับการคืนคลื่นความถี่ 2600 เมกะเฮิรตซ์ โดยเฉพาะในขั้นตอนการเยียวยาและชดใช้ในการเรียกคืนคลื่นความถี่ เมื่อมีการเรียกคืนคลืนความถี่ บมจ.อสมท และเอกชนคู่สัญญาได้ทำการประมาณรายได้และค่าเสียโอกาสส่งให้ กสทช. โดยมูลค่าที่ได้ส่งไปคือ 50,000 ล้านบาท บนระยะเวลาถึอครองคลื่นความถี่ 15 ปี โดยได้มีการไปชี้แจงกับสำนักงานฯ หลายครั้งซึ่งได้ยืนยันมูลค่าเสียโอกาสที่ 50,000 ล้านบาท กสทช.ไม่เคยสอบถามตนเลยว่าต้องการได้รับเงินเยียวยาเท่าใด มีแต่เพียงขอให้ส่งประมาณการรายได้และกำไรของโคงการให้เท่านั้น ซึ่ง บมจ.อสมท ได้ส่งประเมินรายได้รวมในการประกอบกิจการเป็นเวลา 15 ปี ไว้ที่ 226,830 ล้านบาท ตลอดเวลาที่ผ่านมาตนยืนยันในมูลค่าความเสียหายที่ได้แจ้งไปมาตลอด และไม่เคยยอมรับมูลค่าเงินเยียวยาตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด ทั้งนี้ อสมท และคู่สัญญา มีความพยายามที่จะให้บริการทีวีบอกรับสมาชิก โดยก่อนการถูกเรียกคืนคลื่นความถี่ 2600 เมกะเฮิรตซ์ ได้มีการลงทุนและการเตรียมการมาโดยตลอด จึงได้แจ้งกับ กสทช.ว่า หากมีการเรียกคืนคลื่นความถี่ ก็สมควรจะได้รับเงินเยียวยา ชดเชย และค่าเสียโอกาสให้สมกับการที่ได้ลงทุนมาตลอด 10 ปี ในการต่อสู้เรื่องการใช้คลื่นเพื่อทำธุรกิจและ 2 ปี ในการเรียกคืนคลื่นความถี่ ตลอดเวลาของการไปชี้แจงกับสำนักงาน กสทช. และอนุกรรมการเยียวยาฯของ กสทช.ตนไม่เคยทราบเลยว่าจะได้ค่าชดเชยมูลค่าเท่าใด จนสุดท้ายในการพิจารณาของกรรมการ กสทช.ตนได้ไปชี้แจง แต่กรรมการ กสทช.มีความเห็นว่าการชี้แจงยังไม่ชัดเจน ขอให้ทำหนังสือชี้แจงกลับมา 2 ประเด็นคือ อำนาจของกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และการจ่ายเงินค่าชดเชยให้กับคู่สัญญา หลังจากทำหนังสือชี้แจงแล้วตนยังได้ทำหน้งสือแจ้งไปยังรัฐมนตรีไปยังสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ให้รับทราบ "จุดยืนของเรื่องนี้คือ กสทช.มีหน้าที่เยียวยาคืนคลื่นความถี่ โดยแบ่งการเยียวยาออกเป็นสามส่วนคือ มูลค่าที่ต้องทดแทน ชดใช้ และจ่ายค่าตอบแทน ผมขอให้ กสทช.เร่งพิจารณาตามสัดส่วนที่เป็นธรรมตามที่คณะอนุกรรมการเยียวยาฯ มีความเห็น อสมท เรียกร้องในส่วนที่ อสมท จะต้องได้ ขอย้ำว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยทราบวงเงินเลยว่าจะได้รับเงินเยียวยาเท่าใด และเมื่อทุกอย่างไปต่อไม่ได้จะต้องยึดตามสัญญาที่มีอยู่ ผมจะอุทธรณ์มติเงินเยียวยาวของกสทช.และไม่ทราบมติของ กสทช.ในส่วนของเงินเยียวยา ขอยืนยันว่าผมทำเพื่อผู้ถือหุ้นและพนักงานที่มีข่าวว่าผมยอมรับแบ่งเงิน 50 : 50 ไม่เป็นความจริง ผมไม่สนใจว่าตัวเลขของผู้เสียหายเท่าไหร่ และผมก็ไม่เคยบอกว่าผมยอมรับตัวเลข 3,200 ล้านบาท สิ่งที่ผมทำได้และทำได้ดีที่สุดขององค์กร คือ ต้องไปบล็อกไม่ให้ กสทช.อนุมัติตามสัญญา เพราะไม่เช่นกัน อสมท จะเสียเปรียบ" นายเขมทัตต์ กล่าวอีกว่า การอุทธรณ์จะเกิดขึ้นหลังจาก อสมท ได้รับแจ้งมติที่ประชุมบอร์ด กสทช. จากสำนักงาน กสทช.ตนคิดว่าการอุทธรณ์สามารถดำเนินการได้เลยเมื่อได้รับการแจงมติบอร์ด กสทช. จากนั้นตนจะแจ้งกับที่ประชุมผู้ถือหุ้น อสมท เห็นว่าหาก กสทช.มีมติออกมาแล้วไม่คุ้มค่ากับที่องค์กรคาดหวังเราต้องอุทธรณ์แน่นอน ส่วนที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีรับคำร้องจากพนักงาน เข้าใจว่าท่านรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เมื่อถามว่าเรื่องนี้สุดท้ายจะไปจบที่ศาลหรือไม่ นายเชมทัตต์ กล่าวว่า หากยังตกลงกันไม่ได้ ก็อาจจะเป็นไปได้ ซึ่งจะทำให้การเยียวยามายัง อสมท และคู่สัญญาต้องทอดเวลาออกไป