นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด(มหาชน)เปิดเผยว่า บริษัทประสบความสำเร็จ ในการออกและเสนอขายหุ้นกู้สกุลเหรียญสหรัฐอเมริกา ชนิดไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิ เมื่อเร็วๆ นี้จำนวนรวม 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อนำเงินมาสนับสนุนการลงทุนของบริษัท โดยเฉพาะโครงการพลังงานสะอาด หรือ โครงการ CFP (Clean Fuel Project) และเป็นการเสริมความแข็งแกร่งด้านการเงินของบริษัทฯ ในช่วงสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว อันเนื่องมาจากผลกระทบการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19” สำหรับหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก Standard and Poor’s และ Moody’s ที่ระดับ BBB+ และ Baa2 ตามลำดับ โดยประกอบด้วยหุ้นกู้จำนวน 2 ชุด หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 10 ปี จำนวน 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.50 ต่อปี โดยหุ้นกู้ชุดนี้ถือเป็นหุ้นกู้สกุลเหรียญสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปีที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่สามารถออกและเสนอขายได้โดยบริษัทไทย และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 30 ปี จำนวน 600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.75 ต่อปี โดยหลังจากประกาศเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าวของไทยออยล์ให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันในต่างประเทศ ผลปรากฎว่าได้รับความนิยมสูงมาก โดยมียอดจองซื้อเต็มจำนวนภายใน 10 นาทีที่ออกเสนอขาย และมียอดจองสูงสุดกว่า 7,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 7.5 เท่าของวงเงินที่ตั้งไว้ การออกและเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าวจัดจำหน่ายโดยธนาคาร BofA Securities,Citigroup (B&D),Standard Chartered Bank, ANZ, BNP PARIBAS,and Deutsche Bank โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ย (Pricing Date) เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2663 และจะดำเนินการ settlement แล้วเสร็จวันที่ 18 มิถุนายน 2563” ทั้งนี้จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ผันผวน และมีแนวโน้มชะลอตัวจากผลกระทบการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้บริษัทต่างๆ ทั่วโลกอยู่ในสภาวะที่มีความเสี่ยงสภาพคล่อง อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เตรียมความพร้อม และทางเลือกการจัดหาเงินโดยการเข้าถึงตลาดเงินระหว่างประเทศผ่านโปรแกรม Global Medium Term Note (โปรแกรม GMTN) ซึ่งเป็นโปรแกรมเตรียมความพร้อมในการจัดหาเงินทุนของบริษัทฯ ทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงนักลงทุนได้อย่างกว้างขวาง รวดเร็ว และทันต่อสถานการณ์ตลาดการเงินที่ผันผวน บริษัทฯ จึงสามารถจัดหาเงินทุนผ่านการออกพันธบัตรสกุลเหรียญสหรัฐอเมริกา ด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง แม้จะอยู่ท่ามกลางภาวะความกดดันของเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจโลก