"วายแอลจี"เผยหลังเฟดประกาศคงดอกเบี้ยต่ำระยะยาวหนุนเงินลงทุนไหลเข้าทองคำ เหตุลดต้นทุนการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย ขณะเดียวกันการคาดการณ์เศรษฐกิจที่ติดลบ รวมถึงความวิตกสหรัฐและจีนเผชิญการระบาด COVID-19 รอบสองกดดันตลาดหุ้นปรับตัวลดลงยิ่งเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดทอง ล่าสุดความต้องการทองคำในบางประเทศเริ่มฟื้นโดยเฉพาะจีน หลังจากคลายมาตรการล็อกดาวน์ ขณะที่กองทุน ETF ยังคงสร้างสถิติใหม่เข้าถือทองคำมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมแนะนำนักลงทุนลงทุนระยะสั้น แบ่งขายบางส่วนบริเวณแนวต้าน 1,746-1,765 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากราคาย่อตัวลงมาไม่หลุดบริเวณแนวรับ 1,680-1,657 ดอลลาร์ต่อออนซ์ถือเป็นจังหวะเข้าซื้อ นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ผู้นำเข้าและส่งออกทองคำแท่งรายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดทองคำกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดบริเวณ 1,744.77 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ได้มีมุมมองเชิงลบต่อเศรษฐกิจในทุกด้าน ทั้งการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัวลงถึง -6.5% ในปีนี้ และลดคาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้และปีหน้าลงเหลือ 0.8% และ 1.6% ตามลำดับ รวมถึงปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการว่างงานในปีนี้และปีหน้าสู่ระดับ 9.3% และ 6.5% ตามลำดับ อีกทั้งยังมีนโยบายที่จะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ดังนั้นจึงเป็นปัจจัยหนุนให้เงินลงทุนไหลเข้าสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปแบบดอกเบี้ยอย่างทองคำ นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) นอกจากนี้ ทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยยังได้รับแรงหนุนเพิ่มจากความวิตกว่า สหรัฐและจีนเสี่ยงอาจเผชิญกับการระบาดระลอกสองซึ่งจะยิ่งบั่นทอนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ หลังจากมากกว่า 20 รัฐในสหรัฐพบจำนวนที่พบผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายใหม่พุ่งสูงขึ้นหลังจากที่มีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงรัฐ Texas, Arizona, North Carolina, และ South Carolina ส่วนในวันเสาร์ทางการจีนได้สั่งปิดตลาดซินฟาตี้ ซึ่งเป็นตลาดค้าส่งผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ใหญ่สุดในปักกิ่ง หลังพบคนในตลาดและละแวกใกล้เคียงมีผลตรวจCOVID-19 เป็นบวก ขณะเดียวกันพบว่าหลังจากหลายประเทศคลายมาตรการล็อกดาวน์ เริ่มเห็นความต้องการทองคำในจีนฟื้นตัวโดยสะท้อนจากราคาส่วนลดสำหรับการซื้อขายทองคำในจีนลดลงจากระดับ 40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในเดือนเม.ย. และ 14-18 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงสิ้นเดือนพ.ค. สู่ระดับ 11-14 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในต้นเดือน มิ.ย. อย่างไรก็ดีความต้องการทองคำในอินเดียยังคงซบเซา แม้อินเดียจะเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์แล้ว แต่ระดับราคาที่สูง และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวยังคงบั่นทอนการเข้าซื้อทองคำ แต่กระนั้น ความต้องการลงทุนทองคำในภาคการลงทุนในกองทุน ETF จะก้าวเข้ามามีบทบาทและช่วยชดเชยความอ่อนแอของอุปสงค์ทองคำในส่วนของผู้บริโภค เห็นได้จากการถือครองทองคำของกองทุน ETF ทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ที่ 3,510 ตันในช่วงสิ้นเดือน พ.ค. จึงเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่หนุนราคาทองคำอย่างต่อเนื่อง สำหรับคำแนะนำการลงทุนในทองคำช่วงนี้ YLG ยังคงให้คำแนะนำลงทุนลงทุนระยะสั้นโดยรอจังหวะเปิดสถานะซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาบริเวณแนวรับ และขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวขึ้นไปบริเวณแนวต้าน ส่วนนักลงทุนที่มีทองคำในมือ แนะนำให้แบ่งขายทำกำไรเพียงบางส่วนหากราคาดีดตัวขึ้นและไม่ผ่านแนวต้าน 1,746-1,765 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเข้าซื้ออีกครั้งหากราคามีการย่อตัวลงมาไม่หลุดบริเวณแนวรับ 1,680-1,657 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยนักลงทุนสามารถปรึกษาด้านการลงทุนทองคำกับ YLG ได้ทางโทรศัพท์ 02-687-9888 รวมถึงสามารถติดตามบทวิเคราะห์ อัพเดทข่าวสารที่ส่งผลต่อราคาทองคำ ข่าวโปรโมชั่น สัมมนา และข่าวประชาสัมพันธ์ของ YLG ผ่านทางหลากหลายช่องทาง อาทิ www.ylgprecious.co.th และ https://www.facebook.com/YLGGroup