เริ่มคลายล็อกดาวน์ ผ่อนปรนการปิดพื้นที่ กันไปในหลายประเทศทั่วโลกแล้ว สำหรับ มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 ที่อาละวาดยังพื้นที่ต่างๆ ใน 213 ประเทศ และเขตการปกครอง แทบจะถ้วนทั่วภูมิภาคต่างๆ ของโลกเรา นับตั้งแต่ที่ไวรัสร้ายชนิดนี้ ปรากฏโฉมเป็นครั้งแรกเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว (แต่ทางมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลล่าสุดว่า โควิด-19 น่าจะเริ่มแผลงฤทธิ์มาตั้งแต่ช่วงเดือน ส.ค.ปีที่แล้ว) แม้ผู้คนจำนวนไม่น้อย ออกอาการไม่ปลื้ม และแสดงความอึดอัด กับมาตรการปิดพื้นที่ หรือล็อกดาวน์ ดังกล่าว แต่ผลการศึกษาวิจัยที่ออกมาล่าสุด ก็สะกิดติติงบอกให้ผู้คนที่ไม่ปลื้มเหล่านั้น ได้รับรู้ว่า ก็เพราะมาตรการล็อกดาวน์นี้แหละ ที่ปกป้องชีวิตพลเมืองโลก ให้มีลมหายใจได้ต่อไปอีกจำนวนหลายล้านคน และไม่ต้องล้มหมอนนอนเสื่อจากการเจ็บป่วยเพราะติดเชื้อไวรัสร้ายชนิดนี้อีกจำนวนหลายร้อยล้านคน ถ้อยแถลงข้างต้น มิใช่เพียงคำปลอบประโลมให้เห็นคุณค่าของมาตรการล็อกดาวน์ แต่ทว่า เป็นผลการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัย “ราชวิทยาลัยลอนดอน” หรือ “อิมพีเรียล คอลเลจ ออฟ ลอนดอน (Imperial College of London)” ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา ที่ตั้งอยู่ย่านใจกลางกรุงลอนดอน เมืองหลวงของอังกฤษ ที่เปิดเผยผลการศึกษาวิจัยออกมาล่าสุด โดย “ราชวิทยาลัยลอนดอน” เปิดเผยว่า เอาเฉพาะในภูมิภาคยุโรปที่ทางมหาวิทยาลัยจัดเก็บข้อมูล มาตรการล็อกดาวน์ ที่หลายประเทศในยุโรป เริ่มใช้มาตั้งแต่ช่วงเดือน มี.ค. - พ.ค. ที่ผ่านมานั้น ก็สามารถปกป้องพลเมืองได้มากกว่า 3.2 ล้านคนเข้าไปแล้ว ไม่ให้ต้องด่าวดิ้นสิ้นใจไปกับไวรัสมรณะชนิดนี้ ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนี้ คือ เดือน พ.ค. ที่ไวรัสโควิดฯ กำลังแพร่ระบาดอย่างหนักระดับ “พีคสุด” ในภูมิภาคยุโรป ก็คร่าชีวิตพลเมืองในภูมิภาคดังกล่าว ด้วยจำนวนมากถึง 1.3 แสนคน “ราชวิทยาลัยลอนดอน” แจกแจงถึงรายละเอียดของอานิสงส์คุณของมาตรล็อกดาวน์ในรายประเทศที่กำลังเผชิญกับแพร่ระบาดอย่างหนักของโควิดฯ ที่ปลิดชีวิตผู้คนเป็นใบไม้ร่วงเมื่อช่วงเดือน พ.ค. ด้วยว่า ในฝรั่งเศส มาตรการล็อกดาวน์ ช่วยชีวิตผู้คนได้มากถึง 6.9 แสนคน ในอิตาลี 6.3 แสนคน และอังกฤษ 4.71 แสนคน เป็นต้น พร้อมกันนี้ ทาง ดร.เซ็ท แฟล็กซ์แมน นักวิชาการอาวุโสด้านสถิติและคณิตศาสตร์ แห่งราชวิทยาลัยลอนดอน ยังกล่าวเน้นย้ำว่า มาตรการล็อกดาวน์สามารถช่วยป้องกันโศกนาฏกรรมจากไวรัสโควิดฯ ไม่ให้เลวร้ายมากไปกว่านี้ จากการปกป้องชาวโลกได้หลายล้านชีวิตไม่ให้ปลิดปลง ทั้งนี้ เมื่อว่ากันภูมิภาคยุโรป ปรากฏว่า มี 11 ประเทศที่ดำเนินมาตรการล็อกดาวน์ และมีคำสั่งระงับการดำเนินธุรกิจที่ไม่สำคัญชั่วคราว รวมถึงปิดโรงเรียน ตลอดจนสถานที่สารธารณะทั้งหลายที่ผู้คนไปรวมตัวกันจำนวนมากๆ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้แก่ ออสเตรีย เบลเยียม อังกฤษ เดนมาร์ก ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี นอร์เวย์ สเปน สวีเดน และสวิตเซอร์แลนด์ นอกจากเรื่องการช่วยพิทักษ์ปกป้องผู้คนให้รอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชโควิดฯ ได้แล้ว ในการศึกษาวิจัยมาตรการล็อกดาวน์ในประเทศอื่นๆ เช่น ในสหรัฐฯ จีน ฝรั่งเศส อิหร่าน อิตาลี และเกาหลีใต้ ก็ยังพบด้วยว่า มาตรการปิดพื้นที่ข้างต้นนั้น ยังช่วยป้องกันมิให้ผู้คนต้องล้มป่วยเพราะติดเชื้อโรคได้จำนวนรวมแล้วมากถึง 530 ล้านคนด้วยกัน ท่ามกลางการถกเถียงถึงผลได้ ผลเสีย จากผลกระทบระหว่างไวรัสมรณะโควิดฯ กับมาตรการล็อกดาวน์ที่มีต่อเศรษฐกิจ ก็ส่งผลให้หลายประเทศเริ่มเปิดพื้นที่ ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ข้างต้น เพื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ สามารถกลับมาดำเนินอีกครั้งได้ แม้ว่าประเทศกำลังเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของไวรัสร้ายอย่างหนัก แต่ในขณะเดียวกัน สถานการณ์เศรษฐกิจก็กำลังตกสะเก็ดถดถอย เช่น ที่สหรัฐฯ เป็นต้น มหานครสำคัญๆ อย่างนิวยอร์ก เป็นอาทิ เริ่มอนุญาตให้ประชาชนคนทำงานกว่า 4 แสนคน กลับคืนสู่สถานประกอบการต่างๆ ได้ โดยมีเสียงสะกิดเตือนให้บรรดาผู้คนเหล่านี้ ยังคงต้องเฝ้าระวังด้วยมาตรการต่าง เช่น การสวมหน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย และต้องอยู่ห่างไกลกันตามแนวทางการเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสร้ายที่พร้อมจะอาละวาดระลอกใหม่