เมื่อเวลา 10.30 .วันที่ 11 มิ.ย.63 ที่ศาลอาญา พ.ต.ท.วิทวัส สายอ๋อง พนักงานสอบสวนกองปราบปราม พร้อมกำลังได้นำตัวนายบุญช่วย เจริญสถาพร อายุ 79 ปี กับนายกิตติพงษ์ เจริญสถาพร อายุ 43 ปี บุตรชาย ผู้ต้องหาคดีโกงที่ดิน พระกิตติวุฑโฒ มาขออำนาจศาลฝากขัง โดยส่งตัวเข้าห้องควบคุมชั้นล่าง คำร้องบรรยายว่า เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. พนักงานสอบสวนได้ควบคุมตัวนายบุญช่วย และนายสถาพร กล่าวหาว่า "ร่วมกันยักยอก ,ร่วมกันแจ้งความเท็จ และร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความลงในเอกสารและร่วมกันเบิกความเท็จ" รวม 4 กระทง คำร้องบรรยายว่า เดิมปี 2510 มูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย ได้จัดตั้งเป็นนิติบุคคล มีพระกิตติวุฑโฒ เป็นกรรมการผจก.มูลนิธิ ต่อมาปี2513-15 พระกิตติวุฑโฒซื้อที่ดินนส.3 รวม 4000ไร่ ในราคา12ล้านบาท จากนายสมพล โกศลานันท์ เจ้าของที่ดิน เงินมาจากพุทธศาสนิกชนที่มีจิตศรัทธา ไปชำระให้นายสมพล8ล้านบาท แล้วนายสมพลส่งมอบที่ดินให้ครอบครองทำเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรม แล้วมีการทำกิจกรรมทางศาสนา ในระหว่างที่ผู้ต้องหาที่1ดูแลก็มีผู้ต้องหาที่2 มาอยู่ด้วย ผู้ต้องหาทั้ง2ได้ไปติดต่อหน่วยราชการ และเสียภาษีที่ดินในนามมูลนิธิตลอดมา จนปี 2538 นายสมพลเสียชีวิต และปี2548พระกิตติวุฑโฒมรณะภาพ ก็ไม่มีการเปลี่ยนชือผู้ครอบครองที่ดิน จนปี2550 ผู้ต้องหาที่1ต้องการเอาที่ดินมาเป็นของตนเอง จึงวางแผนเอาเอกสารอันเป็นเท็จระบุว่าผู้ต้องหาที่1เป็นผู้ซื้อที่ดินทั้งหมด จากนายสมพล เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐาน ในการฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดจันทบุรี ต่อมามีการสมยอมกันระหว่างผู้ต้องหาที่ 1 กับนายเรวัติ ทายาทนายสมพล จนเป็นเหตุให้ศาลจังหวัดจันทบุรี มีคำพิพากษาตามยอม ผู้ต้องหาที่1ใช้คำพิพากษาไปยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดิน เพื่อเปลี่ยนชื่อทางทะเบียนใน นส.3ก.จากนายสมพล มาเป็นชื่อของผู้ต้องหา แต่จพง.ที่ดินโต้แย้งว่า นายเรวัติไม่ใช่ทายาทของนายสมพลเพียงคนเดียว จึงไม่จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อให้ ผู้ต้องหาที่1จึงทำเอกสารเท็จมาให้ทายาทนายสมพลอีกสองคน ลงนามว่านายสมพลขายที่ดินให้ตนเอง แล้วนำไปเสนอต่อศาล ต่อมาศาลจังหวัดจันทบุรี มีหนังสือสั่งให้จพง.ที่ดินเปลี่ยนชื่อในหนังสือรับรองทำประโยชน์จากนายสมพล เป็นนายบุญช่วย ปี 2553 -54 ผู้ต้องหาทั้ง2 มีเจตนาแย่งกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ของมูลนิธิมาเป็นของตัวเอง จึงแจ้งความเท็จกับจพง.ที่ดินว่า ตนเป็นเจ้าของที่ดินนส.3ทำให้จพง.ที่ดินออกโฉนดให้ รวม99ฉบับ ต่อมาทายาทนายสมพลทราบจึงฟ้องศาลเพื่อทวงที่ดินจากผู้ต้องหาที่1และฟ้องกันไปมาเป็นการเบิกความเท็จต่อศาลรวม8กรรม และผู้ต้องหาเบิกความเท็จ4กรรม เป็นเหตุให้มูลนิธิ ซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริง เสียหาย207,178,580 บาท ซึ่งเมื่อคำนวนราคาปัจจุบันแล้ว ราคาไร่ละ7แสนบาท รวม2,450บาท มูลนิธิจึงแจ้งกองปราบดำเนินคดี พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนมาตลอดแต่ยังต้องสอบพยานอีก10ปาก รอผลพิสูจน์ต่างๆ จึงขอฝากขังเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่ 11 มิ.ย.ถึง 22 มิ.ย. โดยขอคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวเพราะมีพฤติการณ์ที่เหิมเกริมไม่เกรงกลัวกฎหมาย ศาลพิจารณาคำร้องแล้วมีคำสั่งอนุญาติ แล้วออกหมายขังตัวเข้าเรือนจำ ขณะที่จำเลยพยายายามยื่นหลักประกันขอปล่อยตัวในวงเงินหลักทรัพย์ 1 ล้านบาทต่อคน