บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยภายใต้แคมเปญ “Amazing Thailand” จัดการแข่งขัน “ดิอาจิโอ เวิลด์คลาส ไทยแลนด์ แนชันแนล ไฟนอล 2017” เฟ้นหาสุดยอดบาร์เทนเดอร์ระดับประเทศในรายการแข่งขันที่ทรงเกียรติที่สุดของประเทศไทยเมื่อวันที่ 8 และ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีนักแสดงสาวเทย่า โรเจอร์ พร้อมเซเลบริตี้คนดัง ร่วมแสดงความยินดี ณ โรงแรม โซฟิเทล กรุงเทพฯ สุขุมวิท การแข่งขันรายการนี้ที่จัดขึ้นที่โรงแรม โซฟิเทล กรุงเทพฯ สุขุมวิท ได้ผลรางวัลผู้ชนะเลิศคือ คุณรณภร คณิวิชาภรณ์ จาก แบ็คสเตจ ค็อกเทล บาร์ที่คว้าตำแหน่ง “เวิลด์ คลาส ไทยแลนด์ บาร์เทนเดอร์ ออฟ เดอะ เยียร์ 2017” (World Class Thailand bartender of the Year 2017) เพื่อเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าแข่งขันในระดับโลก “โกลบอล เวิลด์ คลาส ไฟนอลส์” (Global World Class Finals) ที่ประเทศเม็กซิโกปลายปีนี้ ส่วนรางวัล “Thailand’s Signature Shakedown” รางวัลชนะเลิศตกเป็นของ คุณกิติบดี ช่อทับทิม จากแบ็คสเตจ ค็อกเทล บาร์ เช่นเดียวกัน กับค็อกเทลชื่อ “Basil Flip” ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยประกาศให้เป็นค็อกเทลประจำชาติสูตรใหม่ เป้าหมายของการแข่งขันรายการนี้ก็เพื่อให้ความรู้และยกระดับศาสตร์ของการผสมเครื่องดื่มหรือมิกโซโลจี้ ซึ่งการแข่งขันรายการนี้ได้นำเอายอดฝีมือในแวดวงค็อกเทลของไทยมาประชันความสามารถกันอย่างเต็มพิกัด โดยได้ทำการแข่งขันรอบชนะเลิศ 2 วัน มีบาร์เทนเดอร์ 40 คนสุดท้ายเข้าประลองฝีมือใน 4 ทักษะ ได้แก่ “Brands of the World”, “Trend of the Future”, “Against the Clock” และ“Thailand’s Signature Shakedown”. สำหรับการแข่งขันประเภท “Brands of the World” ผู้ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศจะต้องรังสรรค์ค็อกเทลขึ้นมาใหม่หนึ่งสูตรที่สะท้อนถึงคาแรคเตอร์และความเป็นตัวตนของแบรนด์ที่กำหนดให้ ค็อกเทลดังกล่าวจะต้องมีส่วนผสมของ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ โกลด์ เลเบิล พรีเสิร์ฟ, บูลเลท วิสกี้, เคเทล วัน วอดก้า, ซีรอค วอดก้า, แทงเคอเรย์, รอน ซาคาป้า หรือ ดอน ฮูลิโอ โดยผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนมีเวลา 5 นาทีเพื่อเตรียมตัวที่บาร์ และอีก 6 นาทีในการนำเสนอต่อคณะกรรมการ ส่วนเกณฑ์การตัดสินประกอบด้วยคะแนนด้านเทคนิค ความคิดสร้างสรรค์ กลิ่น รส ความสมดุล ความชัดเจนของสปิริต และรูปลักษณ์ เป็นต้น ส่วน “Trend of the Future” ผู้เข้าแข่งขันจะต้องสร้างค็อกเทล “แห่งอนาคต” ที่จะกลายเป็นเทรนด์ของค็อกเทลใหม่ในอนาคตตามความคิดและจินตนาการของแต่ละคน ประเภท “Against the Clock” เป็นการวัดขีดความสามารถของบาร์เทนเดอร์ในการทำงานภายใต้เวลาที่จำกัดอย่างมาก ผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนมีเวลา 8 นาทีในการทำค็อกเทลอย่างน้อย 5 - 8 แก้วโดยใช้ส่วนผสม อาทิ วอดก้า (เคเทล วัน หรือซีรอค), จิน (แทงเคอเรย์ ลอนดอน ดราย จิน), เตกิล่า (ดอน ฮูลิโอ บลังโค), รัม (ซาคาป้า 23) และวิสกี้ (จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ โกลด์ เลเบิ้ล รีเสิร์ฟ, ซิงเกิลตัน ออฟ เกลน ออร์ด 12 ปี) และความท้าทายประเภทสุดท้ายคือ “Thailand’s Signature Shakedown” ผู้เข้าแข่งขันจะต้องเตรียมป๊อปอัพบาร์และทำค็อกเทลขึ้นมาใหม่ 2 ตัวตามธีม “Thailand’s Signature” และ “Unseen Signature” สำหรับค็อกเทลธีม “Thailand’s Signature” จะต้องใช้ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ แบล็ค เลเบิล เป็นส่วนผสมหลัก และส่วนผสมแบบไทยที่สามารถหาได้ทั่วไปและแสดงถึงเอกลักษณ์ตามวัฒนธรรมไทย ซึ่งค็อกเทลที่ชนะการแข่งขันจากประเภทนี้จะถูกประกาศให้เป็น “ค็อกเทลประจำชาติ” อย่างเป็นทางการโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ส่วนค็อกเทลธีม “Unseen Signature” จะต้องให้แสดงถึงความแปลกใหม่และหายากของรสชาติ คาแรคเตอร์และส่วนผสม การแข่งขันรอบตัดเชือกเพื่อชิงความเป็นหนึ่งนี้ ตัดสินโดยคณะกรรมการที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ ผู้นำที่เป็นพันธมิตรและผู้ร่วมสนับสนุนจากหลายแวดวง ไม่ว่าจะเป็น ฟอร์บส ไทยแลนด์, บางกอกแอร์เวย์ส, แอสตันมาร์ติน กรุงเทพฯ และลาบูทีค พร้อมกันนี้ยังได้รับเกียรติจากผู้นำในวงการธุรกิจ สื่อมวลชน ผู้บริหารสายการบิน ผู้บริหารโรงแรม แฟชั่นกูรู ผู้ฝึกสอนบาร์เทนเดอร์และตัวแทนจากองค์กรรัฐมากมายเข้าร่วมชมการแข่งขันและตัดสินบาร์เทนเดอร์ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายทั้ง 44 คน ซึ่งผู้ชนะจากการแข่งขันเพียงหนึ่งเดียวจะเป็นตัวแทนประเทศไทยเพื่อเข้าแข่งขัน World Class Global Finals 2017 ซึ่งเป็นการแข่งขันระดับโลกปลายปีนี้ที่เม็กซิโก คุณพรเศก ภาคสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย กลุ่มผลิตภัณฑ์รีเสิร์ฟ บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าการแข่งขันรายการนี้ส่งเสริมและพัฒนาทักษะบาร์เทนเดอร์ไปแล้วกว่า 500 คนในประเทศไทยนับตั้งแต่การแข่งขันในไทยครั้งแรกในปี 2011 โดยมุ่งเน้นที่จะยกระดับมาตรฐานอาชีพบาร์เทนเดอร์ในประเทศไทย พร้อมเพิ่มโอกาสความก้าวหน้าในอาชีพแก่นักผสมเครื่องดื่ม รวมไปถึงเฉลิมฉลองและให้เกียรติ ศาสตร์แห่งการผสมเครื่องดื่มและบาร์เทนเดอร์ทั่วโลก “เทรนด์การดื่มในประเทศไทยเปลี่ยนไปมากช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญและชื่นชอบเครื่องดื่มที่ประณีตและการดื่มอย่างรับผิดชอบซึ่งเป็นหัวใจหลักที่ World Class ต้องการจะสื่อสารออกไป เราเชื่อว่ากิจกรรมนี้จะส่งผลดีแก่อุตสาหกรรมค็อกเทลในวงกว้าง จากการให้นักผสมเครื่องดื่มได้สัมผัสกับเทรนด์ใหม่ๆ และพัฒนาทักษะซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสก้าวหน้าในอาชีพ ทั้งยังเป็นการกระจายความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับศาสตร์และศิลป์ของวัฒนธรรมการทำค็อกเทลแก่สาธารณชนด้วย” คุณพรเศกกล่าว นอกจากนี้ คุณพรเศกยังกล่าวเพิ่มเติมว่า World Class ยังมุ่งเน้นที่จะพัฒนาศักยภาพและความสามารถของผู้ประกอบอาชีพบาร์เทนเดอร์ทั่วโลก “บาร์เทนเดอร์ที่ผ่านการฝึกฝนและผ่านการแข่งขันจะได้รับประกาศนียบัตร World Class ที่การันตีถึงความมีระดับ ความหรูหรามีสไตล์ ความสามารถ รวมไปถึงความคิดสร้างสรรค์และบริการชั้นเลิศ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการทำค็อกเทลแถวหน้า” คุณฉัททันต์ กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภายใต้แคมเปญ “Amazing Thailand” กล่าวด้วยความรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการแข่งขัน World Class ที่ไม่เพียงแต่ยกระดับมาตรฐานค็อกเทล แต่ยังส่งผลให้แวดวงไฟน์ดริ้งค์กิ้งของไทยมีมาตรฐานทัดเทียมนานาชาติ จากจำนวนนักท่องเที่ยว 32.6 ล้านคนที่มาเยือนประเทศไทยเมื่อปีที่แล้ว การแข่งขันและการฝึกฝนจากโปรแกรม World Class จะสร้างชื่อให้ประเทศไทยในฐานะเดสติเนชั่นของการท่องเที่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ ที่ขึ้นชื่อด้านการบริการเป็นเลิศ และกลายเป็นผู้นำด้านอาหารและเครื่องดื่มของภูมิภาคต่อไป สำหรับผู้ชนะประเภทต่างๆ ได้แก่ : ชนะเลิศ : คุณรณภร คณิวิชาภรณ์ จากแบ็คสเตจ ค็อกเทล บาร์ (Backstage Cocktail Bar) รองชนะเลิศ อันดับ 1 : คุณเจน แก้วยอด จาก ซอเรนโต (Sorrento) รองชนะเลิศ อันดับ 2 : คุณกิติบดี ช่อทับทิม จากแบ็คสเตจ ค็อกเทล บาร์ (Backstage Cocktail Bar)