จากกรณีที่มีการเผยแพร่คลิปวีดีโอในโซเชียลมีเดียโดยภายในคลิปเป็นภาพวินจักรยานรับจ้างที่ทะเลาะวิวาทชกต่อยกับแกร๊บบริเวณสี่แยกวิทยุหรือบริเวณปากซอยสาทร1 ซึ่งหลายกระแสมีการบอกว่าสาเหตุเกิดจากการแย่งผู้โดยสาร เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ความคืบหน้าเมื่อช่วงบ่ายวันเดียวกัน(4 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังเกิดเหตุมีผู้นำคลิปโพสต์ลงในโซเชียลมีเดียต่างมีกลุ่มวินจักรยานยนต์รับจ้างและแกร๊บ เดินทางมาติดตามสถานการณ์ ทั้งนี้จากการสอบถามคู่กรณีทั้งสองรายที่ปรากฎภายในคลิปเล่าเหตุการณ์ว่า เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ9.00-10.00น. โดยเรื่องดังกล่าวเกิดจาก การขับรถปาดหน้ากัน และมีการโต้เถียงกันนิดหน่อยก่อนจะแยกย้ายกันขี่รถไปต่อมานายณวัชร์ สิริภัครัตติกุล 40 ปี อาชีพขับแกร็บซึ่งเป็นเพื่อนของหนุ่มแกร็บอีกคนที่มีเรื่องขับรถจยย.ผ่านมาจึงสอบถามเรื่องราว ระหว่างนั้นคนขับวินคู่กรณีได้ขี่รถมาจอดติดกันบริเวณที่กลับรถตรงแยกวิทยุพอดี นายณวัชร์ จึงเข้าไปสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น ด้านคนขับวินเข้าใจผิดคิดว่าอีกฝั่งตามพวกมาหาเรื่องจึงตะโกนเรียกพวกซึ่งเป็นคนขับวินที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมาช่วย ก่อนที่จะมีเรื่องชกต่อยกันตามปรากฏในคลิป ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สน.ทุ่งมหาเมฆ ที่ประจำป้อม เปิดเผยว่า เหตุเกิดเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาขณะปฏิบัติหน้าที่ โดยขณะเกิดเหตุได้เข้าห้ามปรามคู่กรณีทั้ง2ฝ่ายที่ทะเลาะวิวาท จนสามารถระงับเหตุแยกย้าย แต่ทั้ง2ฝ่ายยังคงติดใจ ก่อนที่จะไปแจ้งความดำเนินคดีที่สน.ทุ่งมหาเมฆ สืบเนื่องจากขับรถปาดหน้ากัน หน้าโรงเรียนคอนแวนต์ ถนนสาทรขาเข้า ก่อนที่หนุ่มขับแกร๊บจะขับติดตามมาจนถึงบริเวณปากซอยสาทร1จากนั้นได้ลงมือก่อเหตุทะเลาะวิวาทกัน ส่วนที่มีประเด็น ว่า วินจักรยานยนต์ดังกล่าว มีตำรวจคอยดูแลอำนวยความสะดวก และไม่เคยถูกดำเนินคดีฐานเป็นวินเถื่อนนั้น ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง เพราะทุกคนที่ได้รับความเดือดร้อนมักอ้างว่ามีตำรวจคอยดูแลคุ้มครอง และ ที่ผ่านมาตำรวจมีผลการจับกุมผู้กระทำความผิดมาอย่างต่อเนื่อง ยืนยันว่า ประชาชนทุกคนมีตำรวจเป็นที่พึ่งทั้งหมด ตำรวจไม่ได้เลือกปฏิบัติ ทั้งนี้หลังเกิดเหตุนายณวัชร์ ซึ่งถูกวินจยย.ทำร้าย ได้เดินทางเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินคดีกับวินที่เข้ามาทำร้ายตนแล้วนั้นในข้อหาทำร้ายร่างกาย โดยหลังจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการสอบปากคำผู้เสียหาย ก่อนจะติดตามตัวผู้ที่ก่อเหตุมาดำเนินคดีต่อไป เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ทราบตัวแล้วอยู่ระหว่างติดต่อประสานให้เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีรายงานว่าภายหลังจากที่คู่กรณีทั้งคู่เดินทางเจ้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการพูดคุยและปรับความเข้าใจกันจากนั้นต่างฝ่ายต่างขอโทษกันเนื่องจากเป็นเรื่องเข้าใจผิด ทำให้เหตุการณ์คลี่คลาย โดยต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันกลับ