ประท้วงดุ ปะทะเดือด จนกลายเป็นม็อบละเลงเลือดไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับ ปรากฏการณ์ชุมนุมประท้วงในสหรัฐอเมริกา แดนเสรีภาพ มหาอำนาจผู้นำของโลกเสรีประชาธิปไตย ซึ่งกำลังลุกเป็นไฟในเวลานี้ เป็นปรากฎการณ์ม็อบ ซึ่งมีชนวนที่ต้องบอกว่า น่าจะรุนแรงสาหัสเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะเป็นการกระทำของระหว่าง “ชนต่างผิวสี” ในสหรัฐฯ จากกรณีที่ “ตำรวจผิวขาว” ทราบชื่อภายหลังว่า “ดีเร็ค โชวิน” ใช้ “เข่า” กดที่อวัยวะ “คอ” ของ “นายจอร์จ ฟลอยด์” พลเมืองอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน หรือชาวผิวดำ กับพื้นเป็นเวลานานถึง 9 นาที จนถึงแก่ความตายขณะควบคุมตัว ที่เมืองมินนีอาโพลิส นครหลวงเมืองเอกของรัฐมินนีโซตา เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ก่อน หลังข่าวแพร่สะพัดออกไป ก็ไม่ผิดอะไรกับการจุดชนวนปลุกกระแสของการชุมนุมประท้วงต่อการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐ กระทำต่อพลเมืองต่างผิวสี กันขึ้น กล่าวถึงในทางคดีความตามกฎหมาย จากปฏิบัติการข้างต้น ก็ส่งผลทำให้ “ดีเร็ค โชฟวิน” พร้อมด้วยตำรวจนายอื่นๆ อีก 3 นาย ที่ร่วมฉากหฤโหดต่างผิวสีดังกล่าว ต้องถูก “ไล่ออก” พร้อมกับถูกดำเนินคดีในข้อหาทำให้คนตายโดยไม่เจตนา และข้อหาฆ่าคนตายโดยประมาท ทว่า ผลกระทบต่อเนื่องจากปรากฏการณ์แห่งม็อบหาได้หยุดไม่ แต่กลับทวีลุกลามจากนครมินนีอาโพลิส บานปลายไปแทบจะทั่วประเทศสหรัฐฯ กันแล้ว ณ ชั่วโมงนี้ และใช่ว่าจะลุกลามบานปลายแต่การรวมตัวชุมนุมของประชาชนอย่างสงบๆ ธรรมดาๆ ก็หาไม่ แต่ปรากฏว่า การชุมนุมดังกล่าว ได้ปะทุลุกเป็นไฟกลายเป็นม็อบเดือด และละเลงเลือดบังเกิดขึ้น เมื่อเกิดการปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างม็อบผู้ชุมนุมประท้วง ที่ได้กลายเป็นม็อบจลาจล ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กับเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน ที่ต้องสวมบทปราบจลาจลกันขึ้น มิหนำซ้ำ ฉากเดือดเลือดพล่านระหว่างกันนั้น ก็มิใช่เพียงจับคู่ระหว่างม็อบกับตำรวจ แต่สถานการณ์ได้เลวร้ายไปถึงขั้นเกิดการปล้นสะดมร้านค้า บ้านเรือนผู้คน นอกเหนือจากการทุบทำลายสิ่งของ และเผาอาคาร สิ่งปลูกสร้างทั้งหลาย ตลอดจนบรรดาสิ่งต่างๆ บนท้องถนน อย่าง รถยนต์ เป็นอาทิ ในพื้นที่ชุมนุมประท้วง นอกจากนี้ ยังมีรายงานด้วยว่า เหตุชุมนุมประท้วงดังกล่าว ได้กลายเป็น “ม็อบเลือด” เพราะเกิดการสูญเสียชีวิตของผู้คนในพื้นที่ชุมนุมกันแล้ว เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในย่านธุรกิจ หรือดาวทาวน์ ของเมืองอินดีแอนาโพลิส รัฐอินดีแอนา เมื่อปรากฏว่า กระสุนปืนปริศนาไม่ทราบว่ามาจากฝ่ายไหนดับชีพสมาชิกม็อบไปแล้ว 1 ศพ บาดเจ็บอีก 3 ราย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเร่งสอบสวนในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เป็นฝีมือของฝ่ายใดกันแน่ เช่นเดียวกับที่เมืองแจ็คสันวิลล์ รัฐฟลอริดา ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ของทางการถูกกลุ่มผู้ก่อจลาจล ใช้อาวุธแหลมคม แทงและปาดเข้าที่คอ จนเป็นแผลเหวอะหวะ ต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงอย่างเร่งด่วน ด้วยปรากฏการณ์ม็อบที่ลุกลามบานปลายกลายเป็นการจลาจล ปล้นสะดมไปในหลายเมือง และมีผู้บาดเจ็บ ล้มตายกันเยี่ยงนี้ ก็ส่งผลให้ทางการของรัฐต่างๆ ต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน พร้อมตามมาด้วยคำสั่งห้ามประชาชนออกนอนเคหสถานในเวลาที่กำหนด หรือที่เรียกว่ เคอร์ฟิว ในพื้นที่หลายเมืองด้วยกัน โดยมีรายงานว่า 25 เมือง ในพื้นที่ 16 รัฐ ถูกสั่งให้อยู่ในการบังคับใช้เคอร์ฟิวข้างต้น ได้แก่ นครลอสแอนเจลิส และย่านเบเวอร์ลีฮิลล์ส รัฐแคลิฟอร์เนีย เมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด เมืองไมอามี รัฐฟลอริดา นครแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย นครชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ เมืองมินนีอาโพลิส ปฐมกำเนิดม็อบ และเมืองเซนต์ปอล รัฐมินนีโซตา เมืองโรเชสเตอร์ รัฐนิวยอร์ก เมืองซินซินเนติ เมืองคลีฟแลนด์ เมืองโคลัมบัส เมืองเดย์ตัน เมืองโทเลโด รัฐโอไฮโอ เมืองยูจีน เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน นครฟิลาเดลเฟีย เมืองพิตต์เบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย เมืองชาร์ลสตัน เมืองโคลัมเบีย รัฐเซาท์แคโรไลนา เมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี นครซอลท์เลคซิตี รัฐยูทาห์ นครซีแอตเติล รัฐวอชิงตัน และเมืองมิลวอกี รัฐวิสคอนซิน การประกาศบังคับใช้มีผลตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์นี้ คือ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ปรากฏดูเหมือนว่า ยิ่งมีคำสั่งห้าม ก็ดูเหมือนจะยิ่งยุ ให้ไฟม็อบได้ปะทุคุโชนพิ่มดีกรีความร้อนแรงยิ่งขึ้น เพราะการชุมนุมประท้วง และการะทะ จลาจล ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ถึงขนาดที่หลายๆ เมือง หลายๆ รัฐ เช่น “มินนีโซตา” รัฐต้นเรื่องเป็นต้น ทางนายทิม วอล์ค ผู้ว่าการรัฐ ต้องสั่งให้ “ทหารกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติ (National Guard)” จำนวน 500 นาย มารักษาการแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะพิจารณาเห็นแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจ “เอาไม่อยู่” กับม็อบคลั่งที่บังเกิด ทั้งนี้ ยังมีรายงานด้วยว่า จากสถานการณ์ไฟม็อบลุกโชนที่มินนีโซตานั้น ทางกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ หรือเพนตากอน ก็ได้ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่สารวัตรทหารจำนวนหนึ่ง ไปรักษาความสงบเรียบร้อยที่รัฐดังกล่าว ซึ่งกล่าวกันว่า น่าจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯเลยก็ว่าได้ ที่เพนตากอน ต้องออกคำสั่งเช่นนั้น เพราะประเมินสถานการณ์แล้วพบว่า หนักหนาสาหัสอย่างแท้จริง เช่นเดียวกับที่แคลิฟอร์เนีย ก็ส่งสัญญาณว่า อาจต้องให้ทหารกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติ มาดูแลสถานการณ์ม็อบแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ด้วยเช่นกัน ทางด้าน บรรดานักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า ปรากฏการณ์ม็อบในสหรัฐฯ ที่กำลังร้อนแรงในเวลานี้ นอกจากได้ประกายไฟจากเหตุการณ์ตำรวจผิวขาวปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อผู้ถูกคุมตัวชาวผิวสี จนถึงแก่ความตายแล้ว แบบเข้าทำนองศึกระหว่างผิวสีในสหรัฐฯ แล้ว ก็ยังมีประเด็นเรื่องศึกระหว่างกลุ่มคน 2 แนวคิดต่างขั้ว มาคอยเติมฟืนเชื้อไฟให้ลุกโชนอย่างรุนแรงเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยเป็นฝีไม้ลายมือของการปลุกม็อบของ “ขบวนการที่เคลื่อนไหวสิทธิพลเมือง” อย่างกลุ่มที่อยู่ภายใต้การนำของ “นายจอห์น ลูอิส” ซึ่งไปปรากฏโฉมเป็นแกนนำในการเดินขบวนประท้วงที่นครแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย กับกลุ่มขบวนการฝ่ายขวาตกขอบ หรือกลุ่มขวาจัด (Far-Right) ในส่วนของพวกสุดโต่งในสหรัฐฯ ที่จับมือกับกลุ่มเร่งสภาพการณ์นิยมแบบขวา (Accelerationists)” ที่พร้อมจะทุบพวกพวกเสรีนิยม หรือพวกฝ่ายซ้าย กันทุกเมื่อ ทั้งนี้ กลุ่มขบวนการหลังนี้ ได้แผลงฤทธิ์สำแดงเดชในเหตุการณ์ต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ตามเมืองต่างๆ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดจนเป็นที่ประจักษ์กันมาแล้ว ส่วนปรากฏการณ์ม็อบครั้งนี้ ก็ได้เข้าผสมโรงแทรกซึมไปกับกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง ก่อนเปิดฉากบุกทุบอาคารสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นที่แอตแลนตา นั่นคือผลงาน และคาดว่า ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ปลายปีนี้ กลุ่มขวาตกขอบก็คงจะมีปฏิบัติการอะไรออกมาให้โลกได้ประจักษ์ด้วยความสะพรึงกันอีก