ผู้การตำรวจอุดรธานี ตรวจที่เกิดเหตุรถยนต์ตราโล่ตำรวจ ชนตาหลานดับ 2 ศพ ด้าน พ.ต.ท.คนขับมอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้น 2 หมื่นบาท ด้านญาติยืนยันมีพยานเห็น ผู้ตายจอดรถอยู่กลางถนนเพื่อรอเลี้ยว ไม่ได้เลี้ยวตัดหน้าอย่างที่คู่กรณีกล่าวหา กรณี พ.ต.ท.สมนึก เหล่าจันดา รอง ผกก. (สอบสวน) สภ.เชียงกลม จ.เลย ขับรถยนต์ตราโล่ ยี่ห้ออีซูซุ สีบรอนด์เงิน ทะเบียน 50612 สังกัดตำรวจภูธรจังหวัดเลย ชนรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าเวฟไอสีดำ ทะเบียน 1กอ 7302 อุดรธานี ทำให้นายอำพร ยุบลพันธุ์ อายุ 62 ปี ที่อยู่ 31 หมู่ 3 ต.บ้านค้อ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี และ ด.ช.ธีรยุทธ ยุบลพันธุ์ อายุ 6 ปี ตาและหลาน เสียชีวิตทั้งคู่ โดยอ้างว่าผู้ตายเลี้ยวรถตัดหน้าอย่างกระชั้นชิด ทำให้เบรกไม่ทัน ทำให้ชนอย่างจัง และจากการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ทั้งคู่เป็นศูนย์ เหตุเกิดที่ทางแยกเข้าบ้านนารายณ์ ถนนบ้านผือ-น้ำโสม บ้านโนนวารี ต.บ้านผือ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี เมื่อเย็นวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น ความคืบหน้ากรณีดังกล่าว เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 1 มิถุนายน 2563 พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จังหวัดอุดรธานี ,พ.ต.อ.ศักดิ์ดา เหมือนโพธิ์ รอง ผบก.ภ.จังหวัดอุดรธานี ,พ.ต.อ.ชนะเกียรติ วงศ์แสงเทียน ผกก.สภ.บ้านผือ ,พ.ต.ท. สายัณห์ นาพา สารวัตร (สอบสวน) สภ.บ้านผือ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี เดินทางมาจุดเกิดเหตุ เพื่อตรวจบริเวณที่เกิดเหตุอีกครั้ง โดยเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี ตรวจเส้นทาง ทิศทางการชน และร่องรอยเฉี่ยวชนรถตราโล่ และรถจักรยานยนต์ว่าชนตรงจุดไหนบ้างอย่างละเอียด จากนั้นเดินทางไปที่ สภ.บ้านผือ ดูรถยนต์คู่กรณี (รถยนต์ปิกอัพตราโล่) และรถจักรยานยนต์ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที โดย พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จังหวัดอุดรธานี เปิดเผยว่า ต้องลงมาตรวจที่เกิดเหตุอีกครั้ง เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า เป็นรถที่ใช้ในทางราชการ ผู้ขับเป็นตำรวจผู้ใหญ่ ยศพันตำรวจโท จากการตรวจที่เกิดเหตุ ตำรวจได้ขับรถมาจาก อ.น้ำโสม มุ่งหน้าเข้า อ.บ้านผือ พอถึงจุดเกิดเหตุ มีรถจักรยานยนต์ผู้ตายสวนทางมา เพื่อจะเลี้ยวขวาเข้าไปในหมู่บ้าน ทำให้เกิดการชนอย่างจัง โดยมีรอยเบรก จะเห็นว่ารถยนต์ยังอยู่ในเส้นทาง และชนได้อย่างไร ทำให้ผู้ใหญ่เสียชีวิตคาที่ และเด็กไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล หลังได้รับรายงาน ได้สั่งกำชับให้เก็บพยาน หลักฐาน และลงมาดูที่เกิดเหตุเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย “ตอนนี้ยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหา เพราะต้องเก็บพยาน หลักฐานจากที่เกิดเหตุ และสอบปากคำ ในคดีรถชน ต้องคำนึงสิทธิการใช้ทางเป็นหลัก หมายความว่า สิทธิที่เราจะมีการใช้เส้นทางในอาณาบริเวณนั้นโดยเฉพาะจุดเกิดเหตุ พอเราพบจุดชนปับ ต้องพิจารณาทันทีว่า ณ จุดชนนั้น ฝ่ายใดมีสิทธิในการใช้ทางก่อน จึงมาดูเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าสิทธิการใช้ทางเป็นของใคร ซึ่งดูแล้ว สิทธิการใช้ทางจะอยู่ฝั่งรถยนต์ เพราะรถจักรยานยนต์เลี้ยวเข้ามา แต่อย่างไรก็ตามจะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย” พล.ต.ต.พิษณุ เปิดเผยต่อว่า ส่วนการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ต้องรอการสอบสวนให้เสร็จสิ้นลง เพราะเป็นคดีเพ่ง เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ถ้าคดีอาญามีผลเป็นประการใด ผู้ที่กระทำผิด เลินเล่อ ก็สามารถถูกฟ้องร้องได้ ต้องให้ผลคดีทางอาญาเสร็จสิ้นลงก่อน ส่วนทางเพ่งก็ติดตามมาอีกครั้ง ส่วนการนำรถตราโล่มาใช้ส่วนตัวได้หรือไม่ ต้องไปดูว่าวันเกิดเหตุ ขับมาเรื่องราชการหรือไม่อย่างไร ก็ต้องไปว่าในระเบียบของการใช้งานที่ตำรวจภูธรจังหวัดเลย ไม่ทราบว่าได้ขออนุญาต ได้กระทำการโดยชอบตามระเบียบกฎหมายกฎหมายของทางตำรวจภูธรจังหวัดเลย แล้วหรือไม่อย่างไร ในฐานะที่เป็นพื้นที่เกิดเหตุ เราจะให้ความเป็นธรรม ในเรื่องตรวจสถานทีเกิดเหตุ เรื่องลักษณะการชน ตรวจแอลกอฮอล์ในร่างกายทั้งคู่ ต่อมาเวลา 16.30 น. พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จังหวัดอุดรธานี ได้เดินทางไปบ้านเลขที่ 31 หมู่ 3 บ้านนารายณ์ ต.บ้านค้อ อ.บ้านผือ ซึ่งญาติได้นำศพนายอำพร และ ด.ช.ธีรยุทธ ตั้งบำเพ็ญกุศล บำเพ็ญกุศลที่บ้าน และนำไปฌาปนกิจ เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 1 มิถุนายน และกำลังทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ทั้งสอง ซึ่ง พล.ต.ต.พิษณุ ได้กล่าวกับญาติผู้ตายว่า ได้เดินทางมากับตำรวจผู้ใหญ่ เพื่อมาตรวจที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง พร้อมกับให้กำลังใจแก่ญาติผู้เสียชีวิต และให้คำมั่นว่าจะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือเข้าข้างตำรวจด้วยกัน ในฐานะตำรวจในพื้นที่เกิดเหตุ และรับผิดชอบคดี พร้อมกับอธิบายสิทธิการใช้ทาง ว่าจุดดังกล่าวเป็นอย่างไร โดยญาติแจ้งว่ามีพยานเห็น ผู้ตายจอดรถอยู่กลางถนนเพื่อรอเลี้ยว ไม่ได้เลี้ยวตัดหน้าอย่างที่คู่กรณีกล่าวหา จากนั้นได้มอบเงินร่วมทำบุญ โดยนางทองสูน ยุบลพันธุ์ อายุ 52 ปี ภรรยานายอำพรผู้ตายเป็นผู้รับมอบ พร้อมเปิดเผยว่า พ.ต.ท.สมนึก เหล่าจันดา รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.เชียงกลม อ.ปากชม จ.เลย ซึ่งเป็นคู่กรณี ให้ภรรยานำเงินมาช่วยเหลือเบื้องต้น 2 หมื่นบาท.