ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร คือสัจธรรมการเมืองไทย กับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ในสมรภูมิเลือกตั้งซ่อมส.ส.ลำปาง เขต 4 เมื่อพรรคเพื่อไทยตีหมอบไม่ส่งพินิจ จันทรสุรินทร์ อดีตส.ส.ลำปาง18สมัยลงชิงชัย โดยอ้างปัญหาสุขภาพและความไม่พร้อมทางด้านจิตใจที่เพิ่งสูญเสียบุตรชาย อิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์ อดีตส.ส.ลำปางไป สร้างความกังขาต่อปฏิกิริยาของพรรคเพื่อไทย ที่แม้จะมีความพยายามอธิบายว่าเป็นเรื่องกระทันหันไม่ได้เตรียมการล่วงหน้า ทว่าวิเคราะห์อย่างสังเคราะห์ เหตุผลที่ยอมแพ้บายครั้งนี้ เบาบางไร้น้ำหนัก ทั้งที่พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะตระกูลจันทรสุรินทร์เป็นเจ้าของพื้นที่มายาวนาน ชนิดที่ส่ง “เสาไฟฟ้า”ก็ยังชนะ และในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดก็ได้รับการเลือกตั้งยกจังหวัด ดังนั้นแม้ “พินิจ”จะไม่พร้อม ก็สามารถส่งผู้สมัครรายอื่นลงรักษาพื้นที่ แต่เพื่อไทยก็ยอมที่จะเสียที่นั่งไป “นายพินิจ เองก็แสดงความพร้อมในการลงรักษาพื้นที่และดูแลพี่น้องประชาชนชาวเขต 4 จ.ลำปาง แทน นายอิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์ อดีต ส.ส.ในพื้นที่ ซึ่งเป็นบุตรชายที่เพิ่งเสียชีวิตไป แต่พอถึงวันสมัคร นายพินิจ รู้สึกไม่สบายใจ เพราะยังคงโศกเศร้าเสียใจ และทำใจเรื่องการสูญเสียบุตรชายยังไม่ได้ ประกอบกับประเมินว่ารัฐบาลไปต่อลำบาก อายุสภาอาจเหลือไม่มาก และต้องเผชิญกับการใช้อำนาจรัฐสารพัดรูปแบบ และที่สำคัญ นายพินิจ มีความประสงค์จะลงสมัคร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ซึ่งคาดว่าจะมีการเลือกตั้งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และได้ยื่นความจำนงแจ้งให้พรรคทราบไปแล้วก่อนหน้านี้ จึงตัดสินใจขอเว้นวรรคการเลือกตั้งในครั้งนี้ไปก่อน”สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุ ท่ามกลางกระแสข่าว พรรคเพื่อไทยทอดไมตรี เตรียมเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ย้ายสำมะโนครัวไปร่วมหอลงโลงกับรัฐบาล ซึ่งมีดีลกันมาตั้งแต่ก่อน จะเกิดสงครามโควิด ดังนั้น ปรากฏการณ์ถอนตัวจากการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย จึงมีนัยทางการเมือง ที่ถูกตีความว่าเป็นการหลีกทางให้กับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งส่งสัญญาณมาจาก “คนแดนไกล” ขณะที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะแกนนำพรรคพลังประชารัฐ รับผิดชอบพื้นที่ภาคเหนือ ยืนยันว่า ไม่มีเกี้ยเซียะแต่อย่างใด กระนั้น ยิ่งน่าสนใจ ที่ปรากฎการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในห้วงเวลา ที่มีความเคลื่อนไหวตั้งพรรคการเมืองใหม่ของทั้งสองปีกการเมืองไทย โดยปีกของพรรคเพื่อไทย มีการรวมตัวกันของ4 ขุนพลอดีตคนไทยรักไทย ซึ่งล้วนเป็น “คนในสายตรง”บ้านจันทร์ส่องหล้า และทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่สมัยยังทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น “หมอมิ้ง”นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ไม่ว่าจะเป็น “อ้วน”ภูมิธรรม เวชยชัย “หมอเลี้ยบ”นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี และ “เฮียเพ้ง”พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล โดยเฉพาะ “เฮียเพ้ง”นั้นก่อนหน้านี้ประกาศล้างมือในอ่างทองคำอำลาการเมืองไปแล้ว โดยจะมี “หมอมิ้ง”ทำหน้าที่กุมบังเหียนเป็นหัวหน้าพรรค เริ่มคิกออฟการเมือง ด้วยการเปิดเวทีระดมสมองจากผู้คนจากหลากหลายอาชีพ มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับบ้านเมือง ที่อาคารสำนักงานแห่งหนึ่งย่านพระราม 9 เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม “ตลอดเวลากว่า 3 ชั่วโมง ที่ประชุมสรุปความเห็นร่วมกันว่า เรื่องการจัดตั้งพรรคการเมืองนั้น ยังไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด ที่จะพิจารณาในขณะนี้ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ การมุ่งให้ความสำคัญ กับการนำเสนอแนวคิด ด้านเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม ที่สะท้อนทางเลือกและทางรอดของสังคมไทย”ภูมิธรรมโพสต์ข้อความอธิบายกิจกรรมที่ดำเนินการในนามของกลุ่มการเมืองไปก่อน ซึ่งมีการพูดถึงกลุ่มแคร์ (CARE-Continue Ability Renew Efficiency) กระนั้น มีเสียงวิจารณ์ว่า เหตุใดจึงต้องรีบก่อตั้งในตอนนี้ที่ยังไม่มีการเลือกตั้ง อีกทั้งเป็นที่น่าสังเกตว่าก่อนหน้านี้มีชื่อของ พิชัย นริพทะพันธุ์ และ “เสี่ยอ๋อย” จาตุรนต์ ฉายแสง ปรากฎอยู่ในกลุ่มการเมืองนี้ด้วย หากแต่ไร้เงาของทั้งคู่ ในอีเวนต์การเมืองครั้งแรกของกลุ่มเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ท่ามกลางเสียงซุบซิบว่า นายใหญ่ดูไบมองว่า “จาตุรนต์” นั้นควบคุมยาก อีกทั้งยังถูกมองว่า กลุ่มการเมืองที่แยกตัวออกจากพรรคเพื่อไทยนี้ เป็นการรวมพลคนอกหัก ที่พลาดเก้าอี้รัฐมนตรี เนื่องจากที่ผ่านมา ทั้ง “พิชัย” และ “จาตุรนต์” วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลด้านต่างๆอย่างเผ็ดร้อน ทำให้ฝั่งของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กินแหนงแคลงใจเกินกว่าจะร่วมงานด้วย อย่างไรก็ดี การตั้งพรรคการเมืองใหม่ของ “ทักษิณ” แม้จะไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอันใด ด้วยในการเลือกตั้งที่ผ่านมา เลือกเดินยุทธการ “แตกแบงก์พัน” ให้ “เฮียเพ้ง” ไปตั้งพรรคไทยรักษาชาติ และยังแตกออกไปอีก เป็นพรรคประชาชาติ แต่การมีชื่อตัวละครหลัก ทั้ง “มิ้ง-เลี้ยบ-อ้วน-เพ้ง” มารวมกัน นั่นย่อมหมายความว่า “ทักษิณ”จะเทน้ำเลี้ยงให้กับพรรคใหม่นี้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่มีกั๊ก ในขณะที่มีกระแสข่าวการปรับครม. ดึงพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาพรรคร่วมรัฐบาล และโดดเดี่ยวพรรคก้าวไกล ตามที่สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์นำเสนอมาอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่า หาก “ดีล” สำเร็จ นอกจากพรรคเพื่อไทย จะได้เข้าสู่ศูนย์อำนาจในการบริหารประเทศอีกครั้ง หลังถูกรัฐประหารมาเป็นเวลา 5 ปีแล้ว การเข้าร่วมกับรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย มีเดิมพันสูงและมีความเสี่ยงที่จะเสียฐานแฟนคลับในพื้นที่อีสาน และเมืองหลวงของคนเสื้อแดงหลายจังหวัด ที่ไม่เอา รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจยังบักโกรก แต่หากสามารถฟื้นความเชื่อมั่นกลับมาได้ และสัมพันธ์ในรัฐบาลราบรื่นก็ถือว่า วิน-วินทุกฝ่าย แต่ในทางกลับกัน หากรัฐบาลพลาดเป้ามุกแป้ก ต้องม้วนเสื่อเพราะถูกคนดูโห่ไล่ ก็ยังมีพรรคสำรองที่ไม่ต้องกอดคอตกเหวไปกับ “บิ๊กตู่” ดังนั้น การที่ “ทักษิณ” หงายไพ่พรรคการเมืองใหม่ ที่ตัวละครแต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นสายเลือดแท้ชินวัตรออกมานั้น เป็นสัญญาณส่งตรงไปถึงแฟนคลับทักษิณ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า เรียกได้ว่า “เหยียบเรือสองแคม” !! ทั้งนี้ทั้งนั้น สำหรับ “ทักษิณ”แล้ว เกมนี้ไม่มีอะไรต้องเสีย โดยเฉพาะคดีสำคัญที่เป็นกล่องดวงใจของเขา ก็คือ คดีฟอกเงินธนาคารกรุงไทย ของบุตรชายหัวแก้วหัวแหวน “โอ๊ค”พานทองแท้ ชินวัตร มีสัญญาณดี เมื่อล่าสุดศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางขยายระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว และมีแนวโน้มที่คดีจะสิ้นสุด เมื่อหันมาดูในปีกรัฐบาล พรรคพลังประชารัฐ มีข่าวปล่อยออกมาว่า กลุ่มของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ พร้อม 3 กุมาร จะไปซุ่มจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ หากไม่ได้รับความไว้วางใจในการจัดสรรตำแหน่งเสนาบดี โดยมีชื่อพรรค พร้อมโลโก้ออกมาพร้อม แต่ก็ได้รับการปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง ด้วยตัวละครที่ปรากฏชื่อออกมานั้น ขาดคีย์แมนคนสำคัญ นั่นก็คือ นายทุนพรรค อีกทั้งเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น หลังจากเกม “ประลองกำลัง” เขย่าเก้าอี้ของ 3 กุมาร ทั้งในพรรคพลังประชารัฐ และในครม. จึงเป็นไปได้ว่าจะเป็นการโยน “ระเบิด” กันภายในพรรค ที่มีหลายกลุ่ม หลายมุ้ง ที่หากดึงพรรคเพื่อไทยเข้ามาร่วมรัฐบาล โควต้าครม.จะต้องมีการเกลี่ยกันใหม่ ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมส่งผลกระทบต่อเก้าอี้รัฐมนตรีในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ และเกิดอาฟเตอร์ช็อกต่อพรรคร่วมรัฐบาล ณ จุดนี้ ดูเหมือนว่าเกมปรับครม. กับการปรับโครงสร้างการเมืองภายในพรรคพลังประชารัฐ และพรรคเพื่อไทย จะกลายเป็น “สมการแปรผัน” ซึ่งกันและกัน กระนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาพ.ร.ก.เงินกู้ 3 ฉบับจำนวน 1.9 ล้านล้านบาท “บิ๊กตู่” จะเลือกเดี่ยวไมโครโฟนด้วยตนเอง เพราะรู้ดีว่าพูดให้คนกันเองฟัง