สอบปากคำทีมแพทย์รักษาบุตรบุญธรรม-ลูกชาย หาพฤติกรรมต้องสงสัยแม่ปุ๊ก พร้อมเตรียมประสานเรือนจำจัดส่งทีมแพทย์จิตเวชตรวจพิสูจน์สุขภาพจิตป่วยจริงหรือไม่ เมื่อวันที่ 27 พ.ค. ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป. กล่าวถึงความคืบหน้าคดีน.ส.นิษฐา วงวาล หรือแม่ปุ๊ก แม่เลี้ยงเดี่ยววัย 29 ปี ผู้ต้องหาคดีวางยา บุตรบุญธรรมวัย 4 ขวบ และ ลูกแท้ๆ วัย 2 ขวบ เพื่อหลอกรับเงินบริจาค ว่า แม้ว่าขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีดังกล่าวจะทราบผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเออย่างไม่เป็นการซึ่งค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นแม่-ลูกโดยสายเลือดกันจริง แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงต้องรอผลอย่างเป็นทางการเพื่อนำมาประกอบสำนวนอยู่ดี พร้อมกันนี้ตนยังขอยืนยันว่าผลดีเอ็นเอที่ออกมาไม่มีผลกระทบต่อรูปคดี เพราะคดีนี่ไม่เกี่ยวกับใครเป็นบิดามารดาของใคร แต่เกี่ยวกับใครกระทำต่อเด็ก และใครได้รับผลประโยชน์มากกว่า ด้าน พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผกก.4 บก.ป. กล่าวว่า การเชิญตัวบุคคลใกล้ชิดภายในของครอบครัวของ น.ส.นิษฐา มาสอบปากคำเมื่อวานที่ผ่านมาเป็ฯการเชิญมาสอบปากคำในฐานะพยาน เพื่อพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงทางคดีบางอย่างที่ยังมีข้อสงสัยอยู่ เกี่ยวกับประเด็นเรื่องพฤติกรรมการเลี้ยงดูเด็กทั้ง 2 คน ของ น.ส.นิษฐา และเส้นทางการเงินบางส่วน ซึ่งทั้งหมดก็ให้ความร่วมมือและให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีมากขึ้น แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เพราะเป็นเรื่องในสำนวนคดี ทั้งนี้ภายหลังสอบปากคำแล้วเสร็จก็ได้ปล่อยตัวทั้งหมดกลับบ้านตามปกติ ไม่ได้มีการแจ้งข้อหาแต่อย่างใด โดยหลังจากนี้ทางพนักงานสอบสวนจะนำคำให้การของพยานทั้งหมดไปตกผลึกวิเคราะห์อย่างละเอียดอีกครั้ง พ.ต.อ.ปทักข์ กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบพยานหลักฐานต่างๆในขณะนี้ยังคงยืนยันว่า ยังไม่พบผู้ร่วมกระทำผิดอื่นๆ ผู้ต้องหายังคงมีแค่ น.ส.นิษฐา เพียงคนเดียว แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง และจำเป็นต้องสอบปากคำพยานและรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม ส่วนจะเชิญตัวใครมาสอบปากคำเพิ่มเติมอีกนั้นไม่ขอเปิดเผย และต้องพิจารณาสำนวนก่อน ส่วนการตรวจสอบยอดเงินที่โอนเข้าบัญชีทั้ง 5 บัญชีจนมียอดเงินหมุนเวียนกว่า 15 ล้านบาทในช่วงเวลา 2-3 ปี นั้น พบว่าเป็นการโอนเงินเข้ามาครั้งละจำนวนไม่มากจากผู้ใจบุญ ก่อนที่ น.ส.นิษฐา จะทยอยถอนออกไปเพื่อนำไปใช้จ่ายอย่างอื่นเรื่อยๆ จนมียอดถอนออกเป็นจำนวนมาก ซึ่งการจะตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเงินถูกนำไปใช้อะไรบ้างนั้นจึงจำเป็นต้องเวลาในการตรวจสอบให้แน่ชัด รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันนี้เจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีดังกล่าวได้มีการจัดทีมคณะพนักงานสอบสวน กก.4 บก. ป. ไปทำการสอบปากคำแพทย์โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เฉลิมพระเกียรติ รังสิต ทั้งแพทย์ผู้รักษาและแพทย์ที่ดูแลอาการป่วยของ ด.ญ.อมยิ้ม และ ด.ช.อิ่มบุญ เพื่อสักถามในประเด็นเกี่ยวกับอาการป่วยของเด็กรวมไปถึงพฤติกรรมต่างๆของ น.ส.นิษฐา ขณะที่ไปเฝ้าเยี่ยมเด็กทั้ง 2 คน นอกจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ยังได้เตรียมประสานไปยังทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ กรมราชทัณฑ์ เพื่อขอให้จัดส่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตเวชเข้าทำการตรวจสอบ น.ส.นิษฐา ภายในเรือนจำ เพื่อพิสูจน์ว่า น.ส.นิษฐา นั้นมีปัญหาทางสุขภาพจิตจริงตามที่พ่อของ น.ส.นิษฐา กล่าวอ้างจริงหรือไม่ และหากผลการตรวจวินิจฉัยพบว่ามีปัญหาด้านสุขภาพจิตจริงก็จะมีการพิจารณาดูต่ออีกว่าอาการป่วยอยู่ในเกณฑ์ใด และจะมีผลทางคดีหรือไม่ ซึ่งในส่วนขงกรณีนี้ทางเจ้าหน้าที่เองก็ไม่ได้เป็นกังวลแต่อย่างใด เนื่องจากปกติแล้วตามหลักกฎหมายจะมีการพิจารณาตามเกณฑ์การป่วยออกเป็นหลายระดับไม่ใช่ว่าหากป่วยทางสุขภาพจิตแล้วจะได้รับละเว้นโทษหรือคดี ประกอบกับการสังเกตพฤติกรรมของ น.ส.นิษฐา ของทางเจ้าหน้าที่เมื่อครั้งสอบปากคำหลังถูกจับกุมตัวที่ผ่านมา ก็ไม่พบอาการทางจิตที่ผิดปกติ น.ส.นิษฐา สามารถพูดคุยตอบข้อสักถามได้เหมือนคนที่มีสติสัมปชัญญะทั่วไป รายงานข่าวแจ้งว่า ในส่วนของการตรวจสอบสิทธิการทำประกันคุ้มครองตัวเด็กต่างๆว่าก่อนหน้านี้เคยมีการทำประกันไว้ให้เด็กทั้ง 2 คนไว้บ้างหรือไม่นั้น เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้รับข้อมูลจากบริษัทประกันภัยที่ผู้ต้องหานำไปใช้สิทธิ์รักษาลูกๆ ตามโรงพยาบาลต่างๆ ว่าได้มีประสานไปยังสมาคมประกันชีวิตไทยเพื่อตรวจสอบกรมธรรม์ของบุคคลที่เกี่ยวข้องในคดีทั้งหมด ทั้งทางฝั่งครอบครัวแม่ปุ๊ก และแม่เอม แต่ยังไม่มีการตอบรับกลับมา ทั้งนี้การที่ต้องมีการตรวจสอบดังกล่าวก็เพื่อตรวจสอบค่าใช้จ่ายต่างๆ เนื่องจากตอนนี้เชื่อได้ว่าเงินที่แม่ปุ๊กได้จากการบริจาคนั้นมากเกินกว่าค่ารักษาพยาบาลของเด็กๆ ส่วนผลการตรวจสอบลายนิ้วมือและร่องรอยดีเอ็นเอบนวัตถุพยานต่างๆ ที่พบในบ้านเกิดเหตุนั้น ยังไม่มีรายงานกลับมาจากกองพิสูจน์หลักฐานกลาง