“SENA” ฝ่าวิกฤตโควิด ปรับกลยุทธ์ลดต้นทุน หนุนผลกำไรสุทธิ Q1/63 แตะ 230 ล้านบาท โต 44% เผยยอด Backlog รอรับรู้กว่า 11,809 ล้านบาท พร้อมเดินกลยุทธ์ “SENA Zero COVID” รับมือทุกช่วงสถานการณ์มรสุมพายุ เดินหน้าเปิด 7 โครงการ พร้อมติดตั้งโซลาร์ฯทาวน์โฮม นำร่องเสนาวิลล์ ลำลูกกา คลอง 6 เปิดจองมิ.ย.นี้ หวังรับ Next Normal ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์โครงการหมู่บ้านโซลาร์เซลล์เต็มรูปแบบรายแรกของไทย เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1/63 ของบริษัทและบริษัทย่อย ว่าในไตรมาสนี้บริษัทมีรายได้จากกลุ่มธุรกิจอสังหาแบ่งเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วยรายได้จากโครงการของทางเสนา 565 ล้านบาท และรายได้จากโครงการของบริษัทร่วมทุนอีก 676 ล้านบาท รวมเป็นรายได้จากธุรกิจอสังหาฯทั้งสิ้น 1,289 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากอสังหาฯ 997 ล้านบาท และยังมีรายได้จากธุรกิจเช่า บริการ เท่ากับ 356.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 173.8 ล้านบาท หรือคิดเป็น 95% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้จากธุรกิจโซลาร์ (EPC) เท่ากับ 6.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.3 ล้านบาท หรือคิดเป็น 52% ทั้งนี้ หากมองในภาพรวมความสามารถการทำรายได้ของกลุ่มบริษัท จะมีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,652 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 542 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 49% เมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,110 ล้านบาท โดยในไตรมาสนี้ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 230 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นเท่ากับ 70 ล้านบาท หรือคิดเป็น 44% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 160 ล้านบาท(รายได้จากโครงการร่วมทุน 676 ล้านบาท) จะเป็นส่วนหนึ่งของรายการส่วนแบ่งกำไร(ขาดทุน) ในไตรมาสนี้เป็นผลกำไรรวม 34 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการ Niche Mono สุขุมวิท - แบริ่ง ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา และรายได้จากโซลาร์ฟาร์ม โดยปัจจุบันบริษัทมีสินค้าขายแล้วรอโอน (Backlog) จำนวน 11,809 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ 6,443 ล้านบาท โดยมียอดรอโอนจากโครงการร่วมทุน 3 โครงการเป็นหลัก มูลค่าประมาณ 5,325 ล้านบาท ประกอบด้วย Niche Mono สุขุมวิท- แบริ่ง,Niche Pride เตาปูน – อินเตอร์เชนจ์ และ Niche Mono เจริญนคร และยอดรอโอนจากโครงการ บมจ.เสนา อีกมูลค่าประมาณ 1,118 ล้านบาท ทั้งนี้มีสินค้าคงเหลือขาย 25,351 ล้านบาท (ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563) ซึ่งจำนวนดังกล่าวมีสินค้าคงเหลือขายที่สามารถขายแล้วโอนกรรมสิทธิ์รับรู้รายได้ในปีนี้เป็นโครงการคอนโดมิเนียมราว 5,900 ล้านบาท โดยในไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดขายโครงการใหม่ 3 โครงการ รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 1,515 ล้านบาท ประกอบด้วย The Kith รังสิต-ติวานนท์ มูลค่าโครงการ 490 ล้านบาท , โครงการ The kith พุทธมณฑล สาย 7 มูลค่าโครงการ 192 ล้านบาท และโครงการร่วมทุน Niche Mono อิสรภาพ มูลค่าโครงการ 833 ล้านบาท ปัจจุบันโครงการนี้มียอดขายมากกว่า 45% แล้ว ทั้งนี้ ทางบริษัทปรับแผนการเปิดโครงการใหม่ ปี 2563 เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนไปภายใต้มาตรการ “SENA ZERO COVID” จากเดิมจะเปิด 10 โครงการ มูลค่า 7,500 ล้านบาท เป็นเปิด 7 โครงการ มูลค่า 4,500 ล้านบาท ปัจจุบันเปิดไปแล้ว 3 โครงการ ซึ่งจะเปิดอีก 4 โครงการดังนี้ 1.เดอะ คิทท์ พลัส พหลโยธิน – คูคต (เฟส 2) 2.เสนา วิลเลจ รังสิต –ติวานนท์ 3.เสนา เวล่า เทพารักษ์ - บางบ่อ 4.เสนา คิทท์ เทพารักษ์ - บางบ่อ ส่วนอีก 3 โครงการ ประกอบด้วย PITI สมเด็จเจ้าพระยา ,Niche Pride บางโพ ,เสนา วีว่าเทพารักษ์นั้น ทางบริษัทขอพิจารณาอีกครั้งตามเหมาะสมและสภาพทางการตลาดหลังจากนี้ โดยปี 63 บริษัทยังคงตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 11,500 ล้านบาท และเป้าโอน 10,600 ล้านบาท สำหรับล่าสุด ทางบริษัทเตรียมเปิดโปรดักส์ใหม่ “ทาวน์โฮมติดโซลาร์” นับเป็นรายแรกของวงการอสังหาฯ เจาะคอนซูมเมอร์ระดับกลาง – ล่าง พร้อมติดตั้งโซลาร์ขนาด 1.28 กิโลวัตต์ ประเดิมทาวน์โฮม 2 ชั้นย่านลำลูกกา คลอง 6 ระดับราคา 2 ล้านกว่าบาทขึ้นไป กำหนดเปิดขายช่วงเดือนมิถุนายน 2563 นี้ สำหรับการติดตั้งโซลาร์จะช่วยตอบโจทย์วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป Next Normal หลังโควิดผ่านพ้นไปได้ เพราะการติดโซลาร์ช่วยประหยัด และ “ลดค่าใช้จ่าย” ระยะยาวนาน 25 ปี เหมาะสำหรับคนที่ต้องการทำงานที่บ้าน (Work From Home) หรือคนมีรายได้จำกัด และกลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องอยู่บ้านตลอดเวลา เป็นต้น