เพจเฟซบุ๊ก Gossipสาสุข โพสต์ข้อความระบุว่า... ป่วย 3 หมื่น ตาย 23 สำรวจวิธีการจัดการ “โควิด” ของสิงคโปร์ ที่ดีที่สุดในโลก . . สิงคโปร์ ถือเป็นต้นแบบของ Second Wave หรือทฤษฎีคลื่นระลอกที่ 2 ของโรคโควิด - 19 เมื่อรัฐบาล ระดม “เทสต์” ผู้ป่วยในแคมป์แรงงานต่างชาติ จนทำให้ยอดผู้ป่วย ซึ่งดูเหมือนจะ “นิ่ง” แล้ว กลับพุ่งทะยานเป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยตัวเลขผู้ป่วยกว่า 3.1 หมื่นคน และยังมีแนวโน้มที่จะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยอัตราผู้ป่วยรายใหม่ มากกว่า 500 – 600 คน . แต่ที่น่าสนใจก็คือ ในตัวเลขผู้ป่วยที่สูงที่สุดในอาเซียนนั้น สิงคโปร์ มีจำนวนผู้เสียชีวิตเพียง 23 คน ต่ำเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศในอาเซียน ต่ำกว่าประเทศข้างเคียงอย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย และต่ำกว่าไทย . ซ้ำยังสามารถจำกัดวงการระบาด ให้อยู่ในเฉพาะแรงงานต่างชาติ ธุรกิจในประเทศเริ่มเดินหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 12 พ.ค. ที่ผ่านมา และในอีกไม่ถึง 1 สัปดาห์ข้างหน้า “โรงเรียน” ทั่วเกาะสิงคโปร์ กำลังจะเริ่มเปิดเรียน ไปพร้อมๆ กับการยกเลิกมาตรการ Circuit Breaker หรือจำกัดการใช้ชีวิตนอกบ้าน เพื่อทำให้ประเทศกลับมาเป็น “ปกติ” อีกครั้ง เพราะสิงคโปร์จะหยุดนิ่งนานกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว . คำถามก็คือ สิงคโปร์ใช้วิธีไหนในการรักษา ถึงสามารถกดอัตราการตายได้ต่ำขนาดนั้น? คำตอบแรก ต้องย้อนกลับไปยังช่วงเดือน มี.ค. วันที่สิงคโปร์ เหมือนจะคุมโรคนี้ได้อยู่ โดยใช้วิธีการตรวจให้มาก จำกัดวงอย่างเข้มข้น และทำ Contact Tracing จนไม่มีคลัสเตอร์ใหญ่ๆ เกิดขึ้นเลยทั่วเกาะ . เป็นบทเรียนสำคัญ ซึ่งทุกประเทศที่ผ่านการระบาดของโรคซาร์สเมื่อ 16 ปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นฮ่องกง ไต้หวัน ล้วนรู้ดีว่า ทั้งหมด เป็นวิธีเดียวในการจะหยุดยั้งโรคไม่ให้ไปไกลกว่านี้ . เมื่อเจอคลัสเตอร์สำคัญที่หอพักแรงงานต่างชาติ เกาะเล็กๆ แห่งนี้ก็ใช้วิธีเดียวกันคือปิดล้อมพื้นที่หอพัก S11 และหอพัก Westlite Toh Guan ทันที . ปัญหาก็คือ หากเป็นหอพักเล็กๆ ที่มีคนอยู่ไม่มากนัก ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ทั้ง 2 ที่นี้ กลับมีจำนวนแรงงานต่างชาติรวมกันกว่า 3 แสนคน โดยส่วนใหญ่เป็นชาวบังกลาเทศ ชาวอินเดีย ชาวจีน ในพื้นที่ 1 ห้องเล็กๆ กลับต้องอยู่รวมกันมากกว่า 20 คน เพราะแรงงานเหล่านี้ ได้รับค่าแรงต่ำมาก อยู่ที่ราว 20 สิงคโปร์ดอลลาร์ (ประมาณ 447 บาท) ต่อวันเท่านั้น . มีทฤษฎีมากมายว่าทำไมคนกลุ่มนี้ถึงเริ่มมีเชื้อได้ บ้างก็บอกว่า ห้าง “มุสตาฟา” ห้างสรรพสินค้า ซึ่งขายสากกะเบือยันเรือรบ ใจกลางย่าน Little India (ซึ่งคนไทยชอบไปซื้อน้ำหอมราคาถูก) เป็นจุดที่พาโรคนี้กลับไปยังหอพักแรงงานต่างชาติ บ้างก็ว่า ไซต์งานก่อสร้าง ซึ่งแรงงานเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำงานอยู่เป็นจุดเริ่มต้น และการอยู่อาศัยอย่างแออัด อากาศปิด กลายเป็นตัวเร่ง ให้โรคนี้ระบาดอย่างรวดเร็ว . ที่สำคัญคือแรงงานกลุ่มนี้ ไม่ได้มีประกันสุขภาพ ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงค่ารักษาพยาบาลที่แพงแสนแพงในสิงคโปร์ จำนวนหนึ่ง ยังอยู่เกินวีซ่า และต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ เจ้าหน้าที่ทุกวัน ทำให้ไม่สามารถไปเทสต์ ไปตรวจได้เหมือนประชากรท้องถิ่น . ลี เซียนลุง นายกฯ สิงคโปร์ ออกมายอมรับว่าเป็นความผิดพลาดสำคัญ ที่ไม่สามารถดูแลแรงงานต่างชาติเหล่านี้ได้ดีพอ จนกลายเป็นจุด “เพาะเชื้อ” ทำให้สิงคโปร์ ที่ควรจะสงบนิ่ง กลับ “ปะทุ” ขึ้นมาอีกครั้ง . แต่วิธีแก้ปัญหาหลังจากนั้นของรัฐบาล กลับดีกว่าที่หลายคนคาด สิงคโปร์มีอัตราการ “เทสต์” ในที่พักแรงงานต่างชาติที่สูงมาก ตัวเลขล่าสุดคือมากกว่า 3 แสนเทสต์ เท่ากับจำนวนแรงงานต่างชาติในประเทศ และเทสต์วันละ 1,000 คน ต่อเนื่องทุกวัน โดยไม่สนว่าคนเหล่านี้จะมี หรือไม่มีอาการป่วย พร้อมกับย้ายแรงงานที่ตรวจจนมั่นใจว่าไม่มีเชื้อ และทำงานในกิจการที่จำเป็น ออกจากพื้นที่ ไปยังพื้นที่ชั่วคราวอื่น . นอกจากนี้ สิงคโปร์ ยังสามารถจับคลัสเตอร์นี้ ปิดกั้นคลัสเตอร์นี้ได้รวดเร็ว เพียง 1-2 วันหลังจากรู้ว่ามีการระบาดในสถานที่นี้ ไม่เปิดการ์ดให้คนในหอพักออกไปใช้ชีวิตด้านนอก และก็โชคดีอีกอย่างที่หอพักดังกล่าว อยู่ในแถบด้านเหนือ คือย่าน Punggol ตรงข้ามกับมาเลเซีย ห่างไกลจากย่านธุรกิจ ย่านท่องเที่ยว โอกาสในการเข้าไปยุ่งเกี่ยวของชาวสิงคโปร์อื่นๆ จึงน้อยมาก . เคสของสิงคโปร์ จึงใกล้เคียงกับการระบาดบนเรือสำราญ Diamond Princess ซึ่งมีการ “กั้นบริเวณ” จึงทำให้เคสผู้ป่วยไม่ไปปะปนกับคนทั่วไปในญี่ปุ่น . ที่สำคัญ แคมป์คนงานเหล่านี้ ยังเต็มไปด้วย “คนหนุ่มสาว” วัยแรงงาน ถึงแม้จะมีการระบาดอย่างหนัก มีคนติดเชื้อเกิน 3 หมื่นคน แต่ส่วนใหญ่ก็มีอาการแข็งแรง ไม่มีอาการป่วยแสดงออก ต่างจากในสหรัฐอเมริกา หรือในยุโรป ที่โรคนี้ไปบุกถึงบ้านพักคนชรา จนมีคนป่วยหนัก – เสียชีวิตมากมาย . เมื่อไม่มีอาการ ก็ทำให้โรงพยาบาล แพทย์ – พยาบาล ไม่ต้องทำงานหนัก ระบบสาธารณสุขที่ดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลกอยู่แล้ว ยังสามารถเดินหน้าได้ปกติ ไม่มีผลกระทบอะไรจากโรคนี้ “เครื่องช่วยหายใจ” ที่เตรียมไว้ทั่วเกาะสิงคโปร์เพื่อรองรับจำนวนผู้ป่วยหนัก ถูกใช้น้อยมาก . มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เช่นกันว่า สิงคโปร์ “ปิดบัง” ตัวเลขการตายของโรคโควิด – 19 ไว้ และโยนให้เป็นการตายด้วยโรคอื่น จนทำให้อัตราตายต่ำมาก แต่องค์การอนามัยโลกเอง ออกมายืนยันว่าการจัดการของสิงคโปร์นั้นดีจริง และเป็นเรื่องที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่อายุน้อยมากกว่า ทำให้ไม่มีโรคแทรกซ้อนอื่น และทำให้อัตราการตายไม่สูงนัก . อย่างไรก็ตาม แรงงานจากบังกลาเทศจำนวนมากก็วิจารณ์การจัดการของรัฐบาล ที่ให้ “ย้ายที่” ออกไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ บางราย ถูกให้ย้ายไปอยู่บนเรือสำราญ บางรายถูกให้ย้ายไปอยู่ในค่ายทหาร ซึ่งหลายคนบอกว่าคุณภาพชีวิตไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก รวมถึงถูกจับแยกกับเพื่อน ครอบครัว ญาติพี่น้อง . หากเป็นประเทศอื่น เมื่อครบ 14 วันก็จะได้กลับบ้าน แต่สำหรับสิงคโปร์ เมื่อตัวเลขในหอพักแรงงาน S11 ยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ แรงงานเหล่านี้ ยังไม่มีโอกาสได้กลับง่ายๆ และไม่รู้ชีวิตจะกลับมาเป็นปกติ หารายได้ส่งกลับบ้านได้อีกเมื่อไหร่.. . #covid19 #โควิด19 #สิงคโปร์