เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 26 พ.ค 63 นายสุวพงษ์ กิติภัทย์พิบูลย์ ผวจ.แม่ฮ่องสอน เป็นประธานเปิดการประชุมชักซ้อมแผนบนโต๊ะตามแผนฉุกเฉินป้องกันระงับอัคคีภัย เพื่อทบทวนและวางแนวทางการปฏิบัติในการเข้าเผชิญเหตุฉุกเฉินด้านอัคคีภัย หลังเกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่กลางเมืองแม่ฮ่องสอน เสียหายกว่า 70 ล้านบาท เมื่อช่วงกลางดึกของคืนวันที่ 17 เม.ย ที่ผ่านมา โดยมีหน่วยงานด้านบรรเทาสาธารณภัย ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง องค์กรเอกชน เข้าร่วมหารือและแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อจัดทำแผนให้สามารถปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างรวดเร็ว ราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ณ. ห้องประชุมสภาเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน นายสุวพงศ์ กิติภัทย์พิบูลย์ ผวจ.แม่ฮ่องสอน กล่าวให้ข้อคิดในการจัดทำแผนการปฏิบัติเพื่อระงับอัคคีภัยบางตอนว่า “ ในการป้องกันและแก้ปัญหาเหตุอัคคีภัย ควรมีการดำเนินการป้องกันทั้งในเชิงสถานที่และสร้างบุคลากรเข้ามาทำหน้าที่ในการแก้ปัญหา เช่น ควรมีการจัดเพิ่มหัวจ่ายน้ำตามจุดต่างให้ครอบคลุมโดยเฉพาะที่เป็นถนนซอยเล็ก ๆ ที่ยากต่อการนำรถดับเพลิงเข้าไปได้ พร้อมจัดสายดับเพลิงไว้ตามจุดใกล้หัวจ่ายน้ำ เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้สามารถนำมาเชื่อมต่อดับเพลิงได้โดยเร็ว นอกจากนี้ควรมีการจัดหารถบรรเทาสาธารณภัยที่ได้มาตรฐานมีอุปกรณ์ครบครันไว้อย่างน้อย 1 คัน และรถดับเพลิงขนาดเล็กที่สามารถเข้าดับเพลิงในถนนที่คับแคบได้ ส่วนด้านบุคลากรควรมีการจัดอบรมหลักสูตรของ ปภ. ให้อยู่ในสถานการณ์ปฏิบัติงานได้อย่างทันท่วงที และมีการฝึกอบรมจิตอาสาเข้ามาเสริมอีกแรง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาเท่าที่สังเกตการณ์จัดลำดับแก้ไขปัญหาภัยต่าง ๆ ยังทำแบบสับสนกันอยู่ จึงอยากให้มีการเข้าไปฝึกอบรมตามแผนระดับของ ปภ. ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้การดำเนินงานเป็นไปตามขั้นตอน แบ่งหน้าที่กันได้อย่างชัดเจน และเป็นระบบ สามารถปฏิบัติงานทั้งในด้านอัคคีภัย แผ่นดินไหว และภัยอื่น ๆ ได้ดีมากขึ้น ด้านนายปกรณ์ จีนาคำ นายกเทศมนตรีเมืองแม่ฮ่องสอนกล่าวในที่ประชุมว่า ในวันที่ 28 พ.ค จะมีการเปิดสภาเพื่อขออนุมัติจัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ในการดับเพลิงเข้ามาเพิ่ม เพราะปัจจุบันอุปกรณ์บางชนิดมีสภาพใช้งานมานาน อาทิ รถดับเพลิง 5 คัน สามารถใช้งานได้จริงเพียง 2 คันอายุการใช้งานบางคันมากถึง 44 ปี ส่วนรถน้ำ 3 คัน ใช้งานได้เต็ม 100 % เพียง 1 คัน อีก 2 คัน ใช้ได้ประมาณ 80 % สำหรับเจ้าหน้าที่ทีมดับเพลิงที่ทำงานครบตามตำแหน่งมีไม่กี่คน ส่วนใหญ่เป็นพนักงานที่บรรจุเข้ามาใหม่ โดยต่อไปจะมีการเข้มงวดในการซักซ้อมปฏิบัติ การเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ และการเข้าเผชิญเหตุให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ.