ไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อว่า ประเทศที่ได้ชื่อว่า ประชากรมีระเบียบวินัยดีที่สุดแห่งหนึ่ง อย่าง “เยอรมนี” ชาติชั้นนำของสหภาพยุโรป หรืออียู จะก่อม็อบปะทะเดือดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ด้วยความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อมาตรการปิดพื้นที่ หรือล็อกดาวน์ ที่ทางการประกาศบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค.2020 (พ.ศ. 2563) เป็นต้นมา เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลเบอร์ลิน ได้ประกาศขยายเวลาล็อกดาวน์บังคับใช้อยู่เป็นระยะๆ ก่อนเริ่มผ่อนปรน ผ่อนคลาย ให้หายใจ หายคอ กันได้บ้าง แต่ปรากฏว่า มีชาวเยอรมันจำนวนหนึ่ง ยังคงไม่พอใจถึงขนาดนับรวมพล จำนวนรวมแล้วหลายพันคน ออกมาชุมนุมต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ข้างต้น ตามเมืองใหญ่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงของประเทศ และเป็นนครใหญ่ที่สุดของเยอรมนี อันเป็นศูนย์กลางทางการเมือง การปกครอง ในฐานะที่ตั้งรัฐบาล ตลอดจนกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ นครฮัมบูร์ก เมืองใหญ่อันดับสอง รองจากกรุงเบอร์ลิน ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านการขนส่งทางบกและทางน้ำ และเป็นเมืองที่ยกย่องว่า ร่ำรวยที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคยุโรป รวมถึงเป็นแหล่งรวมสินค้าหรู แบรนด์เนม ที่ใหญ่ระดับต้นๆ ของโลก นครแฟรงก์เฟิร์ต เมืองศูนย์กลางทางการเงินของประเทศ และภูมิภาคยุโรป แถมยังเป็นที่ตั้งของ “ธนาคารกลางยุโรป” หรือ “อีซีบี” แห่งสหภาพยุโรป หรืออียู อีกต่างหากด้วย นครมิวนิก ซึ่งเป็นนครหลวง เมืองเอกของแคว้นบาวาเรีย และมีเศรษฐกิจเข้มแข็งที่สุดของประเทศ เมืองสตุทท์การ์ต นครที่รุ่มรวยทางวัฒนธรรม และเป็นเมืองที่สำคัญด้านการเกษตรอีกเมืองหนึ่งของเยอรมนี โดยการชุมนุมประท้วง ซึ่งมีรายงานว่า บรรดาม็อบทั้งหลาย ไม่ได้ให้ความสนใจต่อการเว้นระยะห่างทางสังคม หรือโซเชียลดิสแทนซิง ท่ามกลางความหวั่นวิตกกังวลของเจ้าหน้าที่แพทย์ และสาธารณสุข ว่า สถานชุมนุม ตามแห่งหนต่างๆ จะกลายเป็นแหล่งแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดฯ ในหมู่ประชาชน โดยทางกลุ่มม็อบ นอกจากรวมตัว และเดินขบวนไปตามท้องถนนสายต่างๆ ในเมืองสำคัญๆ ข้างต้นแล้ว ก็ยังได้นัดรวมพลตามสถานที่สำคัญๆ ต่างๆ อีกด้วย อาทิเช่น “ไรชส์ทาก” ซึ่งเป็นอาคารรัฐสภาของเยอรมนี ในกรุงเบอร์ลิน “ธนาคารกลางยุโรป” หรือ “อีซีบี” ซึ่งเปรียบได้กับ “ธนาคารกลาง” ของ “สหภาพยุโรป” หรือ “อียู” อันมีที่ตั้งอยู่ในนครแฟรงก์เฟิร์ต ที่ทำการ “ศาลปกครองนครฮัมบูร์ก” เพื่อเรียกร้องให้บรรดาผู้พิพากษาของศาลดังกล่าว พิจารณาสั่งคุ้มครองสิทธิของประชาชนชาวเยอรมัน จากคำสั่งบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาลเบอร์ลิน ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า ในหลายพื้นที่ที่มีการชุมนุมประท้วง ทางกลุ่มม็อบ ได้ปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน ที่มาตรึงกำลังสังเกตการณ์ โดยทางกลุ่มผู้ชุมนุม ใช้อาวุธเป็นสิ่งของที่ติดไม้ ติดมือ มา เช่น ขวดน้ำ ขวดเครื่องดื่ม ขว้างปาเข้าใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจฯ ส่วนทางเจ้าหน้าที่ตำรวจฯ ตอบโต้ด้วย “ปืนใหญ่ฉีดน้ำแรงดันสูง” ปฏิบัติการยิงเข้าใส่ฝูงชน ก่อนบุกจู่โจมยกกำลังเข้าไปจับกุมผู้ชุมนุมประท้วงไปหลายคน รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า การชุมนุมประท้วงมาตรการล็อกดาวน์ในเยอรมนี มีแรงหนุนจากกลุ่มฝ่ายขวา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกขวาจัด ที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม และชาตินิยม แต่ต่อต้านรัฐ กันแบบสุดขั้ว ผลักดันม็อบให้ขับเคลื่อน พร้อมทั้งคาดหมายกันด้วยว่า การชุมนุมประท้วงในลักษณะนี้ที่เยอรมนี จะยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง จากกลุ่มฝ่ายขวาดังกล่าว ในฐานะผู้ขับเคลื่อนม็อบ ถึงขนาดที่นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีหญิงแกร่งแห่งเมืองเบียร์ ต้องออกมาส่งเสียงแถลงปราม โดยนายกรัฐมนตรีแมร์เคิล กล่าวแบบย้ำเตือนว่า มาตรการล็อกดาวน์ ยังเป็นสิ่งจำเป็น และมีความสำคัญอย่างมากสำหรับเยอรมนี ณ เวลานี้ ที่ยังคงมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งมาตรการดังกล่าว จะสามารรถช่วยควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดฯ ได้ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีหญิงแกร่งแห่งเมืองเบียร์ ก็ยังได้กระตุ้นเตือนให้ประชาชนชาวเยอรมัน เอาใจใส่ต่อการเว้นระยะห่างทางสังคม หรือโซเชียลดิสแทนซิง และต้องสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ในยามที่ไปตามสถานที่สาธารณะอีกต่างหากด้วย สำหรับ สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศเยอรมนี พบผู้ป่วยติดเชื้อมีจำนวนสะสมราว 1.8 แสนราย ซึ่งมากเป็นอันดับ 8 ของโลก และมีผู้ป่วยที่เสียชีวิตกว่า 8.3พันคน และมีผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาหายจำนวนสะสมอยู่ที่ 1.6 แสนคนด้วยกัน