การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 นอกจากเป็นวิกฤติที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและชีวิตของประชาคมโลก สร้างความเดือดร้อนในด้านต่างๆ เช่น เศรษฐกิจ และสังคม เป็นวงกว้างแล้ว ก็ยังสร้างความสั่นสะเทือนในแวดวงการเมืองของหลายประเทศอีกต่างหากด้วย อย่างในรายของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ที่แทบจะไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อว่า ภัยร้ายของโควิดฯ จะพ่นพิษทำให้คะแนนนิยมจากเดิมที่ทะยานพุ่งอย่างสุดกู่ ต้องดิ่งลงมาอย่างที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อน นั่นคือ ร้อยละ 59 ทั้งๆ ที่ ก่อนหน้า ก็ต้องว่ากันที่กว่าร้อยละ 60 – 70 ในการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน หรือการทำโพลล์แต่ละครั้ง ล่าสุด ก็เป็นรายของ “ประธานาธิบดีโดนัล์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ” ซึ่งกำลังมีคิวป้องกันเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในฐานผู้สมัครของพรรครีพับลิกัน ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จะมีขึ้นในเดือน พ.ย. ปลายปีนี้ ปรากฏว่า คะแนนนิยมของเขากลับต่ำเตี้ยเรี่ยดินลงไปทุกวัน สวนทางแตกต่างหากเปรียบเทียบกับคู่แข่งคนสำคัญของเขาอย่าง “นายโจ ไบเดน” อดีตรองประธานาธิบดีสมัยบารัก โอบามา ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ที่นับวันคะแนนนิยมของเขากลับพุ่งทะยานขึ้นมา โดยการสำรวจโพลล์ครั้งล่าช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาของ “มหาวิทยาลัยควินนิพิแอค” ในเมืองแฮมเดน รัฐคอนเนตทิคัต ประเทศสหรัฐฯ ได้ผลออกมาว่า อดีตรองประธานาธิบดีไบเดน มีคะแนนนิยมนำหน้าประธานาธิบดีทรัมป์ แบบทิ้งห่างถึงระดับตัวเลข 2 หลักเลยทีเดียว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่นายไบเดน มีคะแนนนิยมเหนือกว่าประธานาธิบดีในระดับตัวเลข 2 หลักเช่นนี้ ซึ่งก็มิใช่อะไรอื่นแต่เป็นเพราะผลพวงจากพิษภัยของโควิดฯ พาให้เป็นไป นั่นเอง รายละเอียดของตัวเลขตามที่มหาวิทยาลัยควินนิพิแอค นำมาเผยแพร่ ก็คือ อดีตรองประธานาธิบดีไบเดน มีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นมาถึงร้อยละ 50 ส่วนประธานาธิบดีทรัมป์ คะแนนนิยมตกลงไปอยู่ที่ร้อยละ 39 ทิ้งห่างกันถึง 11 จุด คะแนนนิยมของอดีตรองประธานาธิบดีไบเดน เพิ่มขึ้นจากการสำรวจหนก่อนเมื่อเดือน เม.ย. ที่เขาเคยได้ร้อยละ 49 ส่วนประธานาธิบดีทรัมป์ คะแนนนิยมลดลงไปจากการสำรวจครั้งก่อนเมื่อเดือน เม.ย. เช่นกัน จากเดิมที่เคยได้ร้อยละ 41 รายละเอียดแยกย่อยของการสำรวจความคิดเห็นด้านอื่นๆ ที่มีต่อประธานาธิบดีทรัมป์ และอดีตรองประธานาธิบดีไบเดน ก็ปรากฏว่า อดีตรองประธานาธิบดีไบเดน ได้รับความเชื่อมั่นว่า จะสามารถรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ดีกว่าประธานาธิบดีทรัมป์ โดยมีตัวเลขอยู่ที่ร้อยละ 55 ส่วนประธานาธิบดีทรัมป์ เหลือความเชื่อมั่นในหมู่ประชาชนชาวอเมริกันเพียงร้อยละ 39 เท่านั้น ทิ้งห่างกันไกลถึง 16 จุดด้วยกัน อย่างไรก็ดี เมื่อสำรวจความคิดเห็นของอเมริกันชนเกี่ยวกับเรื่องการรับมือต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น ประชาชนกลับให้ความเชื่อมั่นต่อ ดร.แอนโทนี เฟาซี ผอ.สถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติสหรัฐฯ หรือเอ็นไอเอไอดี มากกว่าทั้งอดีตรองประธานาธิบดีไบเดน และประธานาธิบดีทรัมป์ อย่างไม่เห็นฝุ่นเช่นกัน โดยนายแพทย์ใหญ่แห่งสหรัฐฯ ผู้นี้ ได้รับความเชื่อมั่นมากถึงร้อยละ 68 มีผู้ไม่เชื่อมั่นเพียงร้อยละ 22 เท่านั้น ขณะที่ ความคิดเห็นของประชาชนชาวสหรัฐฯ ในด้านอื่นๆ ที่มีต่อนายทรัมป์และนายไบเดน ปรากฏว่า เมื่อกล่าวถึงการรับมือด้านเศรษฐกิจ ที่กำลังได้รับผลกระทบจากวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดฯ ต่างให้ความเชื่อมั่นต่อนายไบเดน มากกว่านายทรัมป์ แบบสูสีใกล้เคียงกัน โดยนายไบเดน ได้ไปในอัตราร้อยละ 48 ส่วนนายทรัมป์ ได้ร้อยละ 47 เมื่อถามถึงเรื่องการดูแลสุขภาพของประชาชนชาวอเมริกัน นายไบเดน ได้คะแนนนิยมทิ้งห่างนายทรัมป์ อีกครั้ง ด้วยอัตราร้อยละ 57 ต่อ 37 ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่นายไบเดนได้เพิ่มขึ้นจากการสำรวจเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ที่ได้กันในระดับร้อยละ 53 ต่อ 40 ส่วนคะแนนในเรื่องความเอาใจใส่โดยเฉลี่ยต่อประชาชนชาวสหรัฐฯ โดยส่วนรวมนั้น อดีตรองประธานาธิบดีไบเดน เหนือกว่าประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ร้อยละ 61 ต่อ 30 ซึ่งเป็นคะแนนที่มากกว่าการสำรวจครั้งก่อนเมื่อเดือน เม.ย. ที่ได้ร้อยละ 56 ต่อ 42 ทางด้าน การปฏิบัติตัวในฐานะผู้นำประเทศ ในช่วงที่กำลังเกิดวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคร้ายในครั้งนี้ ปรากฏว่า ชาวอเมริกันจำนวนถึง 2 ใน 3 หรือร้อยละ 67 เห็นว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ ควรใส่หน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ในยามที่ปรากฏตัวต่อสาธารณะ ซึ่งถึง ณ ชั่วโมงนี้ ในประเด็นเกี่ยวกับการสวมหน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัยนั้น ชาวอเมริกันเริ่มตระหนักเห็นความสำคัญกันแล้ว โดยร้อยละ 64 เห็นว่า สมควรแล้วที่ประชาชนต้องสวมหน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัยกัน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสร้าย ส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วย ลดจำนวนลงเหลือเพียงร้อยละ 33 ที่จากเดิมเสียงส่วนใหญ่เห็นว่า การจะสวมหรือไม่สวมหน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย เป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล ผลการสำรวจความคิดเห็นคะแนนิยมระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์ และอดีตรองประธานาธิบดีไบเดน ที่ออกมา ทาง ศ.ทิม มัลลอย นักวิเคราะห์ผลโพลล์ และดำรงตำแหน่ง ผช.ผอ.สถาบันสำรวจความคิดเห็น แห่งมหาวิทยาลัยควินนิพิแอค ก็ได้แสดงทรรศนะว่า ทางฝั่งประธานาธิบดีทรัมป์ และทีมงานของพรรครีพับลิกัน ต้องทำการบ้านครั้งใหญ่ สำหรับ การพลิกฟื้นคะแนนนิยมของนายทรัมป์ หากต้องการยึดบัลลังก์ประธานาธิบดีในทำเนียบขาวมาเป็นของพรรคอีกสมัย มิให้เปลี่ยนมือกลับไปอยู่ที่พรรคเดโมแครตเหมือนเมื่อ 4 ปีก่อน