นายนเรศ ผึ้งแย้ม ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้สหภาพฯยังไม่ได้รับการติดต่อจากกระทรวงคมนาคม เพื่อนัดหารือในรายละเอียดการดูแลพนักงานการบินไทยที่มีอยู่ประมาณ 2 หมื่นคน ภายหลังมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้การบินไทยเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2543 และให้ลดสัดส่วนหุ้นของกระทรวงการคลังในบริษัทให้เหลือต่ำกว่า 50% ทั้งนี้สหภาพฯได้เตรียมความพร้อมในด้านข้อมูลจากมุมมองของฝ่ายปฏิบัติการ เพื่อชี้แจงให้กับนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคมได้รับทราบ เป็นข้อมูลข้อเท็จจริงในส่วนของสหภาพฯ ทั้งเรื่องการลดค่าใช้จ่ายที่ควรจะเป็น ส่วนเรื่องมติ ครม.ที่เห็นชอบให้กระทรวงการคลังปรับลดสัดส่วนถือหุ้นการบินไทย เพื่อให้การบินไทยพ้นสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจก็ยินยอมตามนั้น ถือว่าเป็นไปตามกฎหมายที่ต้องยอมรับมติ ครม. สำหรับท่าทีก่อนหน้านี้ที่ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านการลดสัดส่วนหุ้นนั้น เกรงว่าหากปรับลดสัดส่วนถือหุ้นแล้วจะเปิดโอกาสให้เอกชนกลุ่มอื่นเข้ามาถือหุ้นแทน แต่เมื่อทราบข้อมูลว่าจะมีการปรับเปลี่ยนการถือหุ้นไปยังกองทุน อีกทั้งแนวทางพ้นสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจยังจะทำให้โครงสร้างบริหารที่มีคณะกรรมการและอาจปรับเปลี่ยนฝ่ายบริหารบางส่วน สหภาพฯเล็งเห็นว่าเป็นประโยชน์ โดยการปรับลดสัดส่วนหุ้นที่ทำให้การบินไทยพ้นสภาพรัฐวิสาหกิจเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่อาจทำให้เจ้าหนี้เชื่อมั่น และหากพนักงานหรือสหภาพฯยังคงคัดค้านแผนฟื้นฟูดังกล่าวจะกระทบต่อความเชื่อมั่น ส่งผลให้การบินไทยอาจถูกเจ้าหนี้ฟ้องล้มละลาย ทั้งนี้ตามแผนฟื้นฟูการบินไทยที่อาจถูกลดโครงสร้างองค์กร ปรับลดจำนวนเครื่องบินประมาณ 50 ลำ และอาจทำให้พนักงาน 5,000-10,000 คนถูกเลิกจ้าง ในฐานะพนักงาน มองว่าหากการบินไทยพ้นสภาพรัฐวิสาหกิจเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู อาจต้องปรับลดเบี้ยเลี้ยง ค่าล่วงเวลา และสวัสดิการอื่นๆก็อาจเป็นเหตุให้พนักงานต้องเริ่มปรับตัวลาออกเอง