พาณิชย์เดินเครื่องปิดจุดอ่อนด้านคลังสินค้าและระบบขนส่งสินค้าแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี พร้อมนำระบบเทคโนโลยีมาช่วยแก้ปัญหา/สร้างความเข้มแข็งการบริหารจัดการธุรกิจ หลังพบช่วงโควิด-19 ระบาด ยอดขายทางออนไลน์เติบโตแบบก้าวกระโดด แต่ระบบบริหารสินค้าและโลจิสติกส์ยังมีปัญหาสินค้าขาดสต็อก ลูกค้าได้รับสินค้าล่าช้า สินค้าชำรุดเสียหายระหว่างขนส่ง ย้ำหากปล่อยให้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นโดยไม่แก้ไข หวั่นสูญเสียโอกาสทางการขาย และลูกค้าหนีหาย นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน ทำให้ยอดขายทางออนไลน์ของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเติบโตแบบก้าวกระโดด ผู้บริโภคนิยมสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์มากขึ้น แต่อุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง คือ ขาดการวางแผนบริหารจัดการสินค้าและการขนส่ง (โลจิสติกส์)ที่ดีเช่น สินค้าขาดสต็อก สินค้าชำรุดระหว่างขนส่ง ลูกค้าได้รับสินค้าล่าช้า ฯลฯ ยิ่งคำสั่งซื้อมีมากขึ้นเท่าไร การสะสมของปัญหาที่เกิดขึ้นก็มากขึ้นตามไปด้วย จนกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่อาจทำให้สูญเสียโอกาสทางการขาย และสูญเสียลูกค้าในอนาคต ทั้งนี้จากปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้สั่งการให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เร่งปิดจุดอ่อนระบบบริหารจัดการสินค้าและโลจิสติกส์แก่เอสเอ็มอี พร้อมสร้างจุดแข็งโดยการนำระบบเทคโนโลยีมาช่วยบริหารจัดการธุรกิจและขยายฐานพันธมิตรทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการ ซึ่งจะเป็นการขยายโอกาสทางการตลาดให้แก่ธุรกิจในระยะยาว ล่าสุดได้เตรียมเปิดเวทีเชื่อมเอสเอ็มอี และสตาร์ทอัพ ต่อยอดธุรกิจร่วมกัน สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ เน้นใช้นวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยี ปิดจุดอ่อน-เพิ่มจุดแข็งให้เอสเอ็มอีของไทย ภายใต้กิจกรรม “เชื่อมโยงเครือข่ายสตาร์ทอัพกับเอสเอ็มอี ด้วยนวัตกรรมด้านโลจิสติกส์” หรือ DBD Service X Logistics Startup สำหรับหัวใจสำคัญของการจัดกิจกรรมคือ การเปิดโอกาสให้เอสเอ็มอี และสตาร์ทอัพของไทยได้ทำความรู้จัก เชื่อมต่อ และสร้างเครือข่ายระหว่างกัน โดยใช้จุดแข็งของเอสเอ็มอี และสตาร์ทอัพมาเกื้อหนุน ส่งเสริม และเติมเต็มซึ่งกันและกัน เช่น นำนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีที่กลุ่มสตาร์ทอัพได้คิดค้นขึ้นมาช่วยปิดจุดอ่อน เพิ่มจุดแข็งแก่เอสเอ็มอี เพื่อผลักดันให้ธุรกิจสามารถดำรงอยู่และเติบโตต่อไปได้ด้วยความมั่นคง โดยเฉพาะเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านโลจิสติกส์ด้านบริหารคลังสินค้าและขนส่ง ทั้งนี้ได้ร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร 6 หน่วยงานได้แก่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) สมาคมการค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ (TTSA) สมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน (TVCA) และเทคซอส มีเดีย”ร่วมคัดเลือกสตาร์ทอัพด้านโลจิสติกส์ที่ผ่านเกณฑ์เพื่อเพิ่มโอกาสการเติบโต 6 บริษัท ได้แก่ 1.มายคราวด์ ฟูลฟิลล์เมนท์ 2.ชิปสเปซ 3.ชิปยัวส์ 4.เอ็นซี กรุ๊ป (เหมียวโลจิสต์) 5.อคิตะ ฟูลฟิลเมนท์ 6.สยาม เอาท์เลต ที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เข้าร่วมกิจกรรมฯ “ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เข้าร่วมกิจกรรมจะได้รับประโยชน์มากมาย สามารถแก้ไขปัญหาและปิดจุดอ่อนเกี่ยวกับระบบการบริหารคลังสินค้าและการขนส่ง(โลจิสติกส์) ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ผ่านการคิดค้นมาเป็นอย่างดีจากสตาร์ทอัพ รวมทั้งจะได้รับสิทธิพิเศษและส่วนลดค่าบริการจากกลุ่มโลจิสติกส์ สตาร์ทอัพ นอกจากนี้ยังสามารถขอรับทุนสนับสนุนการใช้เทคโนโลยี ภายใต้โครงการ Mini Transformation Voucher จากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันได้อีกด้วย” โดยขอเชิญชวนผู้ประกอบเอสเอ็มอีทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่ขายสินค้าบนออนไลน์เช่น Facebook,Instagram,Website หรือ ผ่านระบบอี-มาร์เก็ตเพลสต่างๆ โดยสินค้าที่ขายต้องไม่เป็นสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ทำซ้ำ หรือเป็นของลอกเลียนแบบ และกำลังประสบปัญหาด้านการวางแผนบริหารจัดการสินค้าและการขนส่ง (โลจิสติกส์) สมัครเข้าร่วมกิจกรรมเชื่อมโยงเครือข่ายสตาร์ทอัพกับเอสเอ็มอีด้วยนวัตกรรมด้านโลจิสติกส์ (DBD Service X Logistics StartUp)เพื่อพัฒนาศักยภาพธุรกิจ มีระบบบริหารจัดการคลังสินค้าที่ทันสมัย ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งเชื่อมโยงเครือข่ายบริการโลจิสติกส์และบริหารจัดการคลังสินค้าร่วมกันได้ครอบคลุมเพิ่มขึ้น สมัครเข้าร่วมกิจกรรมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ได้ที่ https://www.dbdservicexstartup.com/ ตั้งแต่วันนี้-31 พ.ค.63 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองธุรกิจบริการ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โทร 0-2547-5962 e-mail : [email protected]