แม้จะเปลี่ยนชื่อจาก “ไวรัสอู่ฮั่น” เป็น “ไวรัสโควิด-19” ตามการเอออวยขององค์การอนามัยโลก หรือดับเบิลยูเอชโอ (ฮู) แต่ปรากฏว่า นานาประเทศแทบจะทั่วทุกมุมโลก ก็ยังกังขาต่อพญามังกร จีนแผ่นดินใหญ่ ในประการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเด็นเรื่อง “ที่มา” หรือ “ต้นตอ” ของเชื้อไวรัสร้าย คือ “โคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019” หรือ “โควิด -19” ตามการเปลี่ยนชื่อใหม่อย่างเป็นทางการ แรกเริ่มเดิมที ต่างก็ฉงนสงสัยในที่มาของเชื้อไวรัสมรณะชนิดนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วว่า มาจากธรรมชาติ ที่มี “สัตว์ป่า” อย่าง “ค้างคาว” ที่อาจจะมีขายในตลาดสดแห่งหนึ่งของเมืองอู่ฮั่น เป็นพาหะ หรือว่ามาจาก “ห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์” หรือ “ห้องแล็บ” ในเมืองอู่ฮั่น มณฑลเหอเป่ย จีนแผ่นดินใหญ่ กันแน่? ก่อนที่ทางการสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนายไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ออกมาถล่มโจมตี แบบคุยโวว่ามีหลักฐานสำคัญยิ่ง ในการกล่าวหาจีนถึงเรื่องที่เป็นต้นตอของเชื้อไวรัสโควิด-19 กันอีกต่างหากด้วย พร้อมยกตัวอย่าง กรณีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสมรณะสายพันธุ์อื่นๆ ที่มีมาก่อนหน้า ส่งผลให้เป็นที่ถกเถียงกันไปทั่วโลก แบ่งขั้วเลือกข้าง ถือหางแต่ละฝ่าย จากการที่มีฝ่ายเชื่อบ้าง และไม่เชื่อบ้าง โดยบ้างก็เชื่อว่า เชื้อไวรัสโควิด-19 มาจากธรรมชาติ ขณะที่ อีกฝ่ายเชื่อว่า เป็นเชื้อที่ผ่านตกแต่งในห้องแล็บ ก่อนหลุดรอดอาละวาดผู้คนในเมืองอู่ฮั่นเป็นปฐม แล้วลุกลามไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่นับถึงวันนี้ ก็ 213 ประเทศด้วยกัน พร้อมกับส่งผลให้มีผู้ป่วยติดเชื้อแล้วมากกว่า 4.7 ล้านคน ผู้ป่วยที่เสียชีวิตอีกจำนวนกว่า 3.13 แสนคน โดยในฝ่ายที่ไม่เเชื่อว่า เชื้อไวรัสโควิด-19 มาจากห้องแล็บ อาทิเช่น นายฌ็อง – ฟรังซัวส์ เดลเฟรซซี นักภูมิคุ้มกันวิทยา และหัวหน้าสภาวิทยาศาสตร์ของฝรั่งเศส ถึงขนาดออกมาวิจารณ์ว่า ไม่ผิดอะไรกับการ “มโน” ทึกทักกันไปเองในลักษณะทฤษฎีสมคบคิดกันเลยทีเดียว ไม่อิง หรือเกี่ยวข้องกับหลักการทางวิทยาศาสตร์เลยด้วยซ้ำ ก่อนย้ำทิ้งท้ายว่า เชื้อไวรัสร้ายชนิดนี้ มีสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งเป็นตัวเก็บกักเชื้อ ก่อนแพร่กระจายมาสู่มนุษย์ แต่ด้วยเหตุบางประการพวกเราจึงยังไม่ทราบข้อมูลที่แน่ชัด ขณะที่ ฝ่ายที่เชื่อว่า เชื้อไวรัสโควิด-19 เกิดจากตกแต่งพันธุกรรมจากห้องแล็บในเมืองอู่ฮั่น ก็ต้องบอกว่า มีศักดิ์และศรีไม่ธรรมดาเช่นกัน โดยเป็นถึงเจ้าของรางวัลโนเบล สาขาการแพทย์ หรือสรีรวิทยา เมื่อปี ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551) คือ นายลุก มงตาญนิเยร์ ที่ออกมากล่าวว่า เชื้อไวรัสโควิด-19 มีต้นกำเนิดจากห้องแล็บ โดยมันถูกตัดต่อขึ้น แถมยังมีพันธุกรรม หรืยีน บางส่วน ของเชื้อไวรัสเอชไอวี ชนิดที่ 1 (HIV-1) เป็นส่วนประกอบด้วย ในกลุ่มของความเชื่อฝ่ายนี้ ยังเชื่ออีกด้วยว่า เชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ได้ปรากฏโฉม คือ พบว่า ติดเชื้อในมนุษย์เราเป็นครั้งแรกเมื่อเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว ตามที่หลายฝ่าย รวมทั้งจีนกล่าวอ้าง แต่อาจจะเป็นเดือน ต.ค. ปีที่แล้วด้วยซ้ำ พร้อมแสดงหลักฐานเป็นนักกีฬาหญิงชาวฝรั่งเศสรายหนึ่ง ชื่อ “เอโลดี คลูเวล” วัย 31 ปี ซึ่งเข้าร่วมแข่งขัน “กีฬาทหารโลก (World Military Games)” เมื่อเดือน ต.ค.ปีที่แล้ว โดยเธอได้เหรียญทอง แต่ก็ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 กลับมาเป็นของแถม ทั้งนี้ กรณีของเธอ ถือเป็นรายงานการพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายแรกๆ นอกเหนือจากผู้ป่วยติดเชื้อหมายเลขศูนย์ ในเมืองอู่ฮั่น มณฑลเหอเป่ย หลังมีรายงานการรั่วไหลของเชื้อไวรัส จากห้องแล็บ “พีโฟร์ (P4)” ในเมืองอู่ฮั่น นั้นเอง จนทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องปิดล้อมสถานที่ ส่วนผู้ป่วยติดเชื้อหมายเลขศูนย์คนดังกล่าว หายตัวไปอย่างปริศนา ใช่แต่เท่านั้น ทางฝ่ายนี้ ก็ยังไม่เชื่อด้วยว่า ตลาดหัวหนาน ซึ่งเป็นตลาดสดในเมืองอู่ฮั่น จะเป็นแหล่งต้นตอของเชื้อไวรัสโควิด-19 อีกต่างหากด้วย อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเชื่อ หรือไม่เชื่อกันอย่างไร ก็ได้มีนานาประเทศ ซึ่งตามรายงานข่าว ระบุว่า มีจำนวนมากถึง 100 ประเทศ อาทิ สหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป หรืออียู อีกจำนวน 27 ประเทศ เป็นต้น ร่วมระดมกันเรียกร้องให้มีการสอบสวน และกดดันทางการจีน ให้เปิดเผยที่มาของไวรัสมรณะที่กำลังแพร่ระบาดอาละวาดไปทั่วโลก ณ เวลานี้ว่าต้นตอของเชื้อไวรัสมาจากแห่งหนตำบลใดกันแน่ คือ มาจากสัตว์ป่าในธรรมชาติ หรือจากห้องแล็บ ที่ดำเนินการตกแต่งพันธุกรรม ล่าสุด ทางองค์การอนามัยโลก หรือดับเบิลยูเอชโอ (ฮู) ได้ดำเนินการจัดประชุมใหญ่ ซึ่งได้หยิบยกถึงกรณีดังกล่าวข้างต้นมาพิจารณาหารือกันด้วย ณ สำนักงานใหญ่ในนครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เรียกว่า การประชุมดับเบิลยูเอชเอ ซึ่งเริ่มขึ้นเป็นวันแรกเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ส่วนออกมาเป็นเช่นไรนั้น ก็ติดตามผลประชุมวันสุดท้ายในช่วงกลางสัปดาห์นี้