ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (11-15 พ.ค.) ตลาดหุ้นโลกส่วนใหญ่ปรับลดลง โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับลดลง หลังนายแพทย์ใหญ่ประจำคณะทำงานของทำเนียบขาวเตือนว่า ไวรัสโควิด-19 อาจแพร่ระบาดเป็นรอบที่สองในสหรัฐฯ หากมีการเปิดเศรษฐกิจก่อนเวลาอันควร ประกอบกับนายพาวเวล ประธาน Fed เตือนว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเผชิญกับความไม่แน่นอนและมีความเสี่ยงในช่วงขาลง รวมทั้งยืนยันว่า สหรัฐฯจะไม่มีการใช้อัตราดอกเบี้ยที่ติดลบ ด้านตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเช่นกัน จากความวิตกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดรอบสองของไวรัสโควิด-19 หลังประเทศต่างๆ ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ขณะที่มีแรงขายนำในหุ้นกลุ่มธนาคารของยุโรป จากความกังวลเกี่ยวกับหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น และการระงับจ่ายเงินปันผล รวมทั้ง ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในยุโรปออกมาอ่อนแอ ด้านตลาดหุ้นจีน ปรับลดลง จากความวิตกมากขึ้นเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและจีนที่มีแนวโน้มตึงเครียดเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น โดยได้รับแรงหนุน หลังซาอุดิอาระเบียจะปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมอีก 1 ล้านบาร์เรล/วันในเดือน มิ.ย. ขณะที่ สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯปรับลดลง สวนทางกับที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น รวมทั้งรายงานคาดการณ์ของสำนักงานพลังงานสากล ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบทั่วโลกจะลดลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ มุมมองของเราในสัปดาห์นี้ ในสัปดาห์นี้ตลาดหุ้นโลกยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวน และได้รับแรงกดดันจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน หลังประธานาธิบดีทรัมป์ ห้ามกองทุนบำนาญ Thrift Savings Plan (TSP) ที่ขนาดกองทุน 600 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯไปลงทุนในหุ้นจีน และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯได้ดำเนินมาตรการเพื่อสกัดกั้นบริษัทชิปทั่วโลกไม่ให้ส่งมอบเซมิคอนดักเตอร์ให้กับบริษัทหัวเว่ยของจีน ในขณะที่ สื่อของของพรรคคอมมิวนิสต์จีนรายงานว่า จีนกำลังวางแผนที่จะดำเนินมาตรการตอบโต้สหรัฐฯเช่นเดียวกัน ซึ่งรวมถึงการประกาศรายชื่อบริษัทของสหรัฐฯในรายชื่อ "องค์กรที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ" โดยประเด็นความขัดแย้งทางการค้ารอบใหม่นี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ประกอบกับความกังวลผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ที่ยังมีอยู่ รวมถึงความเสี่ยงการแพร่ระบาดรอบสองของโควิด-19 อย่างไรก็ดี ตลาดฯ อาจได้รับแรงหนุนบางส่วนจาก ความคาดหวังที่ว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะค่อยๆ ฟื้นตัว จากการทยอยผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองในหลายที่ และความคาดหวังในการพัฒนาวัคซีน / ยาต้านโควิด-19 รวมถึงการที่ธนาคารกลาง และรัฐบาลต่างๆยังส่งสัญญาณดำเนินนโยบายการเงินการคลังเชิงผ่อนคลาย และพร้อมออกมาตรการอื่นๆเพิ่มเติมหากจำเป็น เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ด้านราคาน้ำมันดิบ WTI มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อ จากการคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันที่เพิ่มขึ้น หลังหลายประเทศทั่วโลกเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ประกอบกับยังคงได้แรงหนุนจากการที่กลุ่มโอเปกพลัส ตกลงกันที่จะลดการผลิตน้ำมันลงในเดือน พ.ค.และมิ.ย.นี้ ขณะที่ กองทุน US Oil Fund ได้มีการกระจายการลงทุนในสัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบในสัญญาระยะยาว และหลายช่วงอายุมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดแรงขายในวันที่สัญญาครบกำหนดส่งมอบ สำหรับตลาดหุ้นไทย ยังอาจถูกกดดันจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มปรับลดลง ขณะที่การผ่อนปรนมาตรการสกัดกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในระยะที่ 2 โดยศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ถูกรับรู้ (Priced-in) ในดัชนีฯ ไปในระดับหนึ่งแล้ว เหตุการณ์สำคัญ (KEY EVENTS) -ความคืบหน้าของการเปิดเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ ตลอดจนความเสี่ยงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบสอง -ความคืบหน้าในการแก้ไขข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน โดยสหรัฐฯเตรียมแถลงรายละเอียดความพึงพอใจต่อการปฏิบัติตามข้อตกลงทางการค้าระยะที่ 1 ของจีน โดยคาดว่า สหรัฐฯจะกดดันจีนให้เร่งเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯตามที่เคยตกลงไว้ -การประชุม กนง.(20 พ.ค.) คาดว่า กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% อยู่ที่ 0.50% จากแรงกดดันเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ ในขณะที่ กนง.ยังแสดงความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงิน -การประชุมประจำปีของรัฐสภาจีน (NPC) (22 พ.ค.) คาดว่า ทางการจีนอาจยกเลิกการกำหนดเป้าหมาย GDP ในปีนี้ ขณะที่ มีแนวโน้มเพิ่มเป้าหมายขาดดุลการคลัง และเพิ่มโควตาการออกพันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่นพิเศษในปีนี้ -การทยอยประกาศผลประกอบการในไตรมาส 1/2020 ของบริษัทจดทะเบียนไทย ปัจจัยจับตาสัปดาห์นี้ -ตัวเลขเศรษฐกิจได้แก่ ยอดการส่งออกของไทย, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อเบื้องต้นของสหรัฐฯ ยุโรปและญี่ปุ่น, ผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจของ Fed สาขาฟิลาเดลเฟีย และยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐฯ, รายงานการประชุม Fed -เหตุการณ์สำคัญ ได้แก่ ความคืบหน้าของการเปิดเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ,ความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดรอบสองของโควิด-19,ความคืบหน้าในการแก้ไขข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน,การทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2020 ของบริษัทจดทะเบียนไทย,ผลการประชุม กนง.,ถ้อยแถลงของประธาน Fed และสมาชิก Fed และการประชุมประจำปีของรัฐสภาจีน