"โฆษกศบค."ขอบคุณ"ปชช.-ร้านค้า" ร่วมมืออย่างดี โวโอกาสระยะ 3 เป็นไปได้แน่นอน ขณะที่ผลตรวจกิจการ/กิจกรรม พบร้านเสริมสวยมีปัญหาไม่ใส่หน้ากาก ชมคนแห่เช็กอิน "ไทยชนะ" 2 ล้านกว่า ด้าน "บิ๊กตู่"เผย มติ"คนร."ส่ง"การบินไทย" เข้าแผนฟื้นฟู-ขึ้นศาลล้มละลายกลาง เตรียมนำเข้าครม. ด้าน"โฆษกรบ."ยัน"บิ๊กตู่"ยังไม่เคยพูดเรื่องปรับครม.เขินมีชื่อติดโผ "รมช.คลัง" ส่วน"บิ๊กป้อม" ปัดตอบเตรียมนั่งหัวหน้าพรรคพปชร. ลั่นไม่มีปัญหา-สื่อคิดไปเอง "สนธิรัตน์" งดโต้การเมือง แจงละเอียดยิบเกณฑ์อนุมัติเงิน"กองทุนอนุรักษ์พลังงาน"ยันโปร่งใส ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 18 พ.ค.63นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงว่า ขอขอบคุณประชาชนและร้านค้าที่ให้ความร่วมมือกันอย่างดี หลังจากการคลายมาตราการ ระยะที่ 2โดยการเปิดห้างสรรพสินวันแรก อาจจะมีการขลุกขละบ้าง อย่างไรก็ตามการผ่อนคลายระยะที่ 2 เพิ่งผ่านมาเป็นวันที่ 2 ถ้าเราทำได้อย่างดีโอกาสที่จะเปิดกิจการร้านค้าอีกจำนวนมากก็อาจเกิดขึ้นในระยะ 3 อย่างแน่นอน นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ผลการเฝ้าระวังตามมาตรการป้องกันโควิด-19 ของกรมอนามัย ที่สำรวจระหว่างวันที่ 7-15 พ.ค. จำนวน 2,375 กิจการ/กิจกรรมทั่วประเทศ พบว่า ในตลาดสด ประชาชนสวมหน้ากาก มีจุดล้างมือ ซึ่งทำได้ดี แต่ยังต้องพัฒนาเรื่องความแออัด ระยะเวลาการอยู่ในตลาดนานเกินไป ไม่เว้นระยะห่าง ส่วนร้านอาหารแผงลอย มีจุดล้างมือดี แต่ต้องปรับปรุงการทำความสะอาดพื้นผิว ขณะที่สวนสาธารณะ สนามกีฬา ประชาชนร่วมมือใส่หน้ากากเป็นอย่างดี มีการเว้นระยะห่าง แต่ยังต้องปรับปรุงเรื่องการทำความสะอาดอุปกรณ์บ่อยๆ ส่วนร้านเสริมสวย มีการเว้นระยะบุคคล แต่ต้องพัฒนาเรื่องการสวมหน้ากากและภาชนะรองรับขยะ นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ข้อมูลจาก www.ไทยชนะ.com เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 17 พ.ค.มีร้านค้าลงทะเบียน 44,386 แห่ง ผู้ใช้งาน 2,002,897 คน จำนวนเช็กอิน 2,658,754 ครั้ง เช็กเอาท์ 1,845,191 ครั้ง ประเมินร้าน 1,258,261 ครั้ง และขณะนี้มีร้านค้ามาลงทะเบียนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผู้ประกอบการที่มาลงทะเบียนมากที่สุดคือ ร้านอาหาร รองลงมาคือ ห้างสรรพสินค้า ส่วนสถานที่ที่ประชาชนใช้บริการมากที่สุดคือ ห้างสรรพสินค้า รองลงมาคือ ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหาร แต่ปัญหาที่พบคือ คนเช็กอินแล้วไม่เช็กเอาท์ทำให้มีปริมาณประชาชนในพื้นที่นั้นๆ มากกว่าความเป็นจริง ทำให้คนอื่นเข้าไม่ได้ ซึ่งประชาชนอาจจะลืมเช็กเอาท์ อีกสาเหตุหนึ่งพบว่าคิวอาร์โค้ดที่ใช้เช็กเอาท์ติดไว้จำนวนน้อย จึงขอความร่วมมือให้สถานประกอบการติดคิวอาร์โค้ดให้ทั่วถึง ยืนยันข้อมูลดังกล่าวจะอยู่ที่กรมควบคุมโรค ไม่มีการนำข้อมูลไปทำอย่างอื่น ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม เปิดเผยภายหลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(คนร.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบที่จะเข้าแผนฟื้นฟู โดยจะเข้าสู่การพิจารณา ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)วันที่19 พ.ค.นี้ เมื่อถามว่า แผนฟื้นฟูดังกล่าว เป็นไปตามกฎหมายล้มละลายหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า แผนการฟื้นฟูกับการล้มละลายเป็นคนละเรื่องกัน เมื่อถามย้ำว่า ไม่ได้มีการค้ำประกันเงินกู้แล้วใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ตอบก่อนเดินกลับไปยังห้องทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้าทันที ขณะที่ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ผลการประชุม คนร.ยืนยันว่า ไม่ใช่เรื่องการล้มละลาย เพียงแต่จะดำเนินการ เพื่อเข้าสู่แผนฟื้นฟูและการบริหารแผนฟื้นฟู ก่อนจะมีการปรับโครง สร้างหนี้และรายละเอียดต่างๆ ผู้สื่อข่าวถามว่า ในกรณีการยื่นต่อศาลจะยื่นเพียงศาลเดียวหรือจะยื่นทั้งศาลไทยและศาลสหรัฐฯ นางนฤมล กลาวว่า ยังไม่ได้หารือ ในรายละเอียดดังกล่าว แต่น่าจะเป็นของไทย เมื่อถามย้ำว่า จะส่งเรื่องให้ศาลล้มละลายกลางใช่หรือไม่ นางนฤมล กล่าวว่า น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ขอให้มีความชัดเจนในการประชุมครม.ก่อน นางนฤมล ยังกล่าวถึงกระแสการปรับครม. ว่า นายกฯไม่เคยพูดเรื่องนี้และอำนาจอยู่ที่นายกฯ หากจะตัดสินใจ แต่ในช่วงเวลานี้ มีแต่การพูดคุยกันเรื่องการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนเท่านั้น เมื่อถามว่า มีรายงานข่าวว่า มีชื่อนางนฤมลขึ้นเป็นรมช.คลัง นางนฤมล กล่าวแบบเขินๆว่า " ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย" ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ กล่าวถึงปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ว่า ไม่มีอะไร มีแต่สื่อที่ว่ากันไปเองทั้งนั้น เมื่อถามว่า พล.อ.ประวิตรจะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเองตามข่าวหรือไม่ โดย พล.อ.ประวิตร ไม่ได้ตอบคำถาม นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวถึงการรายงานกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองเนื่องในวัน ครบรอบรัฐประ หาร 22 พ.ค. ที่อาจจะเชื่อมโยงกับกลุ่มที่มีการยิงเลเซอร์ #ตามหาความจริง ว่า ไม่ได้รับรายงาน ไม่เห็นมีอะไรและไม่จำเป็นต้องจับตาอะไรเป็นพิเศษ เพราะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมมือกันดูแลมาตลอดและมีขั้นตอนในการรักษาความสงบอยู่แล้ว ด้าน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน แถลงถึงแนวทางการบริหารกองทุนอนุรักษ์พลังงาน ปี 2563 ว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเปิดรับโครงการในกองทุนฯ โดยปีนี้กองทุนอนุรักษ์พลังงานเปิดรับหน่วยงาน 2 ประเภท 1.หน่วยงานทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษา เอกชนที่ไม่แสวงหากำไร 2.คณะกรรมการจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ในโครงการพลังงานชุมชน เพื่อเศรษฐกิจฐานราก นอกจากนี้หลักเกณฑ์การพิจารณาอนุมัติของกองทุนยังแตกต่างจากอดีตที่ผ่านมา โดยไม่เน้นโครงการซื้อของแล้วจบ แต่เน้นไปที่การจ้างงาน พัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ยกระดับคุณภาพชีวิต นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า กองทุนอนุรักษ์พลังงานเปิดรับโครงการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น โดยเมื่อปิดรับโครงการแล้ว อนุกรรมการกลั่นกรองจะพิจารณาโครงการที่เข้าเกณฑ์ ก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนที่มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เกณฑ์การพิจารณาปีนี้ยังมี 4 อนุกรรมการที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย 1.อนุกรรมการกองทุนที่รมว.พลังงานเป็นประธาน ดำเนินการเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ นโยบายของกองทุน ไม่เกี่ยวกับกระบวนการพิจารณา 2.คณะอนุกรรมการกลั่นกรอง มีปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธาน 3.อนุกรรมการติดตามประเมินผล 4.อนุกรรมการปรับปรุงโครงสร้างของสำนักงานกองทุนฯให้มีประสิทธิ์ภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เพื่อป้องกันเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และปีนี้ยังเป็นปีแรก ที่จะนำโครงการซึ่งผ่านการอนุมัติเปิดเผยสู่สาธารณะผ่านเว็บไซต์ เพื่อให้ประชาชนติดตาม ตรวจสอบได้ นายสนธิรัตน์ กล่าวอีกว่า ปี 2563 นี้ มีวงเงินในกองทุน 5,600 ล้านบาท ในการพิจารณากองทุนโครงการนี้ แม้แต่รมว.พลังงานยังไม่มีอำนาจเข้าไปเกี่ยวข้องกับการอนุมัติโครงการ เพราะเมื่อผ่านขั้นตอนการกลั่นกรอง ก็จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกองทุนที่มีนายสมคิดเป็นประธาน ยืนยันว่ารมว.พลังงานไม่อำนาจสั่งการปลัดกระทรวงฯ หรือคณะกรรมการชุดใดๆได้ อีกทั้งอนุกรรมการชุดต่างๆ ยังไม่สามารถทำงานตามอำเภอใจได้ เพราะมีเกณฑ์การกำหนดที่ชัดเจน "ผมยืนยันว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ใช้อำนาจทางการเมืองในเข้ายุ่งเกี่ยวกับกองทุนนี้ ถ้ามีเบาะแสขอให้ร้องเรียน ผมจะดำเนินการทันที จะไม่เปิดโอกาสให้อำนาจอื่นเข้ามาแทรกแซงการพิจารณาของโครงการ ยืนยันว่าต้องใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ให้เกิดประโยชน์ ผมมั่นใจว่ากระบวนการพิจารณาของโครงการตรวจสอบได้ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชน สามารถช่วยแก้ไขปัญหาของประชาชนได้จริง แนวทางการพิจารณาของโครงการนี้ยังได้ปิดจุดอ่อนของการแทรกแซงไว้หมดแล้ว" รมว.พลังงาน กล่าวด้วยว่า กลางเดือนมิ.ย.นี้ จะสามารถอนุมัติโครงการได้ ก่อนจะเริ่มโครงการในเดือนกรกฎาคม โดยหลักเกณฑ์การอนุมัติโครงการของปีนี้ ได้ตัดวงจรการวิ่งเต้นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น การเปิดเผยผลการพิจารณา ติดตามประเมินผล ฯลฯ ซึ่งแตกจากเกณฑ์ของปีที่ผ่านๆมาอย่างมาก นอกจากนี้ เมื่อเริ่มดำเนินโครงการ ตนจะเดินทางไปตรวจสอบ ติดตามด้วยตัวเอง เพราะตั้งแต่รับตำแหน่ง รมว.พลังงานมา ก็ตั้งใจจะปฏิรูปการทำงานให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เป็นข้อครหาต่างๆ อย่างไรก็ตาม ไม่กังวลว่าโครงการนี้จะเป็นปัญหาต่อการดำรงตำแหน่ง รมว.พลังงาน หลังจากเจอการปล่อยข่าวให้ร้าย