FTE คาดแนวโน้ม Q2/63 ส่งสัญญาณดี ภาครัฐ-เอกชน ทยอยพิจารณาการลงทุน เพิ่มโอกาสรับงานมูลค่า 260 ล้านบาท รักษามูลค่า Backlog 460 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าประมูลงานรัฐ-เอกชนต่อเนื่อง ด้านผลประกอบการ Q1/63 รายได้ 226.18 ล้านบาท กำไร 11.93 ล้านบาท นายทักษิณ ตันติไพจิตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฟร์เทรดเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (FTE) ผู้นำธุรกิจนำเข้าและจำหน่าย บริการออกแบบ รับเหมาติดตั้ง ซ่อมแซม ตรวจสอบอุปกรณ์-ระบบดับเพลิงครบวงจร เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น คาดว่าแนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาส 2/63 จะปรับตัวไปในทิศทางเดียวกัน โดยบริษัทประเมินว่าโครงการต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน จะทยอยกลับมาพิจารณาการลงทุนอีกครั้ง อาทิ โครงการภาครัฐที่เป็นปัจจัยพื้นฐาน การพัฒนาปรับปรุงระบบไฟฟ้า การก่อสร้างโรงพยาบาล รวมถึงการก่อสร้างในภาคอุตสาหกรรม เพื่อรองรับการอุปโภคบริโภค ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างยื่นประมูลงานออกแบบติดตั้งระบบดับเพลิง มูลค่ารวมประมาณ 850 ล้านบาท คาดว่าจะมีโอกาสรับงานมูลค่าประมาณ 260 ล้านบาท ปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ประมาณ 460 ล้านบาท แบ่งเป็นงานจัดจำหน่าย 70 ล้านบาท งานออกแบบติดตั้งระบบดับเพลิง 390 ล้านบาท ขณะเดียวกันช่วงที่ผ่านมา บริษัทสามารถดำเนินงานออกแบบติดตั้งระบบดับเพลิง พร้อมรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่งานประมูลยังมีการประกาศผลและสามารถได้รับงานอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ด้านงานจัดจำหน่ายมีคำสั่งซื้อลดลงเล็กน้อยจากโครงการก่อสร้างในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัว แต่ก็ชดเชยจากการจำหน่ายในตลาดอื่นๆเช่น ภาคอุตสาหกรรม ส่วนที่ได้รับผลกระทบคือ งานด้านบริการ ตรวจสอบ ซ่อมบำรุง เนื่องจากบริษัทมีลูกค้าบางส่วนที่ Work From Home จึงขอหยุดรับการบริการ ซึ่งขนาดของงานให้บริการมีสัดส่วนเพียง 2-3% ของธุรกิจโดยรวมจึงไม่ได้ส่งผลกระทบต่อรายได้อย่างมีนัยสำคัญ “แม้ว่าปัจจุบันสถานการณ์เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประเมินสถานการณ์ในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง พร้อมมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารโครงการทั้งเรื่องคุณภาพและระยะเวลาในการติดตั้ง ควบคู่กับการบริหารจัดการต้นทุน ควบคุมค่าใช้จ่าย ให้รัดกุมมากขึ้น รวมถึงพัฒนาบุคลากรของบริษัทให้มีความพร้อม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการดำเนินงาน ซึ่งหากบริษัทสามารถส่งมอบงานได้ตามแผน เชื่อว่าจะรักษาการเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 10% หรือ 1,275 ล้านบาท” สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 226.18 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 253.91 ล้านบาท จำนวน 27.73 ล้านบาท หรือลดลง 10.92% และมีกำไรสุทธิ 11.93ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 29.77 ล้านบาท จำนวน 17.84 ล้านบาท หรือลดลง 59.93% ทั้งนี้ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวลดลง เนื่องจากการรับรู้รายได้จากงานโครงการที่ต่อเนื่องจากปี 2562 ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่งานจัดจำหน่ายมียอดขายที่ลดลงจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อีกทั้งบริษัทได้ตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น ตามมาตรฐานรายงานทางการเงินใหม่