“SCN”รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/2563 เท่ากับ 46.2 ล้านบาท โดยหากตัดกำไรพิเศษจากการขายธุรกิจโชว์รูมในไตรมาส 4/2562 ออกไป จะถือเป็นการเติบโตก้าวกระโดดกว่าเท่าตัวจากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีแรงหนุนสำคัญจากส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ณ เมืองมินบู ประเทศเมียนมา ซึ่งเติบโตกว่า 250% จากไตรมาสก่อนหน้า หลังเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ตั้งแต่ไตรมาส 4/2562 ที่ผ่านมา ดันกำไรไตรมาส 1 ปี 2563 ทะยานเกินคาดสวนทางธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านธุรกิจพลังงาน พลังงานหมุนเวียน และยานยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือก เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาสที่ 1/2563 ออกมาดีเกินความคาดหมาย จากเดิมที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าน่าจะลดลงมากกว่า 50% จากการชะลอตัวของธุรกิจก๊าซธรรมชาติและในช่วงสภาพเศรษฐกิจถดถอยจากวิกฤติโรคระบาด COVID-19 สำหรับไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบู ซึ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากไตรมาสก่อนหน้าสู่ระดับ 36.2 ล้านบาท (9.6 ล้านบาทสำหรับไตรมาส 4/2562) ส่งผลผลักดันกำไรสุทธิใน Q1/2563 เติบโตโดดเด่นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา (พิจารณาโดยตัดกำไรพิเศษจากการขายธุรกิจโชว์รูมในไตรมาส 4/2562 ซึ่งถือเป็นกำไรในลักษณะ non-recurring ออกไป) ทั้งนี้ความคืบหน้าในโครงการโรงไฟฟ้ามินบู ทางบริษัทคาดว่าจะสามารถเริ่มงานก่อสร้างในช่วงเฟส 2,3 และ 4 ได้ตามเป้า พร้อมทั้งเริ่มรับรู้รายได้ทันทีในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 เป็นต้นไป โดยบริษัทขอยืนยันว่า โครงการดังกล่าวไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 และสามารถเดินหน้าดำเนินการไปได้อย่างปกติ นอกจากนี้บริษัทฯยังมีข่าวดีจากการเริ่ม COD ของโครงการ Solar Rooftop 4 โครงการในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาซึ่งบริษัทเริ่มลงทุนในนามของบริษัท Scan Advance Power (SAP) ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 และคาดว่าธุรกิจ Solar Rooftop ในลักษณะ Private PPA จะเริ่มเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนผลกำไรของบริษัทให้เติบโตยั่งยืนตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2563 เป็นต้นไป นอกจากนี้จากการที่บริษัทมีความตื่นตัวและเตรียมมาตรการเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว จึงสามารถบรรเทาผลกระทบได้เยอะกว่าที่คาดหมายไว้ โดยในส่วนของธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่ทางคณะผู้บริหารเล็งเห็นว่าจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่เป็นธุรกิจหลักของบริษัท เนื่องจากนโยบายภาครัฐส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ดีเซล B20 ส่งผลให้ภาพรวมก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยมีปริมาณการใช้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้บริษัทจึงได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์โดยนำธุรกิจพลังงานเข้ามาทดแทนและช่วยเพิ่มช่องทางรายได้ให้มีสัดส่วนมากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทใช้เวลาไม่นานในการมุ่งมั่นพัฒนาจนประสบความสำเร็จ และสามารถทำกำไรให้กับบริษัทได้ตามที่คาดไว้ และคาดว่าในปี 2563 ทุกคนจะเห็นการเติบโตที่ชัดเจนของ SCN ในด้านพลังงานหมุนเวียนมากยิ่งขึ้น ส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติ แม้ว่าปัจจุบันจะมีการชะลอตัวลง แต่เราเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่มีความพร้อมและมีความรู้ความเชี่ยวชาญ หากช่วงใดที่มีโอกาสด้านการลงทุนที่เหมาะสม บริษัทก็พร้อมลุยงานต่อเพื่อเก็บส่วนแบ่งในตลาดก๊าซธรรมชาติต่อไป