คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย วันที่ 3 พฤศจิกายน 2020 นี้ หากไม่มีสถานการณ์ผิดปกติก็คงจะเป็นวันที่สามารถตัดสินได้ว่า “ใครคือผู้ที่จะได้รับเลือกให้เข้าไปดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯคนต่อไป” ระฆังการแข่งขันรณรงค์หาเสียงระหว่างสองนักการเมืองของสองค่ายยักษ์ใหญ่ได้เริ่มขึ้นแล้ว โดยขณะนี้ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”ออกนอกพื้นที่หาเสียงแทบทุกวัน โดยปรากฏตัวตามสถานที่ต่างๆอย่างไม่เกรงกลัวต่อเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาด!!! ส่วน “อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ยึดเอาบ้านชายคาพักอาศัยเป็นศูนย์บัญชาการ โดยมี “อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา” เป็นแม่ทัพช่วยวางหมากเกมส์นี้และยังเป็นกระบอกเสียงเวลาที่อดรนทนไม่ไหวออกมาเปิดฉากวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีทรัมป์ช่วงที่มีข่าวฉาวโฉ่!!! ส่วนการโต้วาทีระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับ อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะจัดให้มีขึ้น 3 ครั้ง ซึ่งจะจัดขึ้นตามมหาวิทยาลัยต่างๆสามแห่งด้วยกัน โดยการโต้วาทีแต่ละครั้งจะใช้เวลา 90 นาทีและจะไม่มีการคั่นโฆษณาขัดจังหวะ ส่วนใครจะรับหน้าที่เป็นพิธีกรนั้นยังอยู่ในระหว่างการเจรจา ส่วนการโต้วาทีในครั้งแรกจะจัดขึ้นในวันที่ 29 กันยายน ณ มหาวิทยาลัย Notre Dame รัฐอินดีแอนา ครั้งที่สองในวันที่ 15 ตุลาคม ณ University Of Michigan ส่วนครั้งที่สามจะจัดให้มีขึ้นในวันที่ 22 ตุลาคม ณ Belmont University รัฐเทนเนสซี ทั้งนี้การเลือกตั้งเมื่อปี 2016 ที่ผ่านมาปรากฏว่าประธานาธิบดีทรัมป์สามารถกำชัยชนะกวาดเรียบกินรวบได้ทั้งสามรัฐที่กล่าวมาข้างต้น ส่วนการโต้วาทีประชันฝีปากระหว่างผู้แข่งขันจะเข้าไปดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี จัดขึ้น ณ มหาวิทยาลัยยูทาห์ ในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ แล้วในการโต้วาทีครั้งนี้คาดว่าจะมีประเด็นดุเด็ดเผ็ดร้อนอะไรให้เราได้ฟังกันบ้าง!!! ด้านภายในประเทศแน่นอนว่า เรื่องของการบริหารจัดการไวรัสโควิด- 19 คงจะเป็นประเด็นหลัก ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์จะต้องเป็นฝ่ายยืนตั้งรับ โดยมีโจ ไบเดน เป็นฝ่ายรุกซักไซ้ไต่ถามรวมไปถึงบดขยี้โจมตี อนึ่ง “ปีเตอร์ นาวาร์โร” (เคยเดินทางมาเป็นอาสาสมัคร Peace Corps ในประเทศไทย) ที่ปรึกษาคนสำคัญของประธานาธิบดีทรัมป์ และยังเคยรับหน้าที่เป็นหัวหน้าเจรจากับประเทศจีนด้านการค้ามาแล้ว โดยหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ได้ออกมาระบุเมื่อวันที่ 29 มกราคมและ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า นายปีเตอร์ นาวาร์โรผู้นี้เคยเขียนรายงานส่งไปเตือนประธานาธิบดีทรัมป์ว่า “เชื้อไวรัสโควิด- 19 จะระบาดอย่างรุนแรงในสหรัฐฯ และหากไม่มีมาตรการรองรับอย่างทันท่วงที ไวรัสร้ายนี้ก็จะคร่าชีวิตของคนอเมริกันอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 1.2 ล้านคน และจะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯอย่างรุนแรงอีกด้วย” แต่ขณะนั้นดูเหมือนว่าประธานาธิบดีทรัมป์กำลังหมกมุ่นวิตกกังวลอยู่กับขบวนการสอบสวนที่อาจจะทำให้เขาต้องถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง (แต่เขาก็รอดตัวหลุดพ้นจากขบวนการดังกล่าวไปแล้วเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์) จึงมิได้สนใจต่อคำเตือนที่ออกมาจากปากของหลายๆฝ่าย!!! จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่ประธานาธิบดีทรัมป์ถูกวิพากษ์วิจารณ์โจมตีค่อนข้างหนักว่า “เขาบริหารจัดการต่อสู้กับโรคโควิด- 19 ได้ไม่ดีเท่าที่ควร” อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีทรัมป์ก็หาได้ใส่ใจ เดินหน้าออกมาให้สัมภาษณ์ตลอดเวลาว่า “ไม่ต้องไปทำอะไร อยู่เฉยๆเพราะไวรัสโควิด-19 จะหดหายไปในที่สุด” และในการประชุมร่วมกับผู้ว่าฯเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ยังได้ออกมาแถลงการณ์อย่างแปลกประหลาดอีกว่า ไวรัสโควิค- 19 จะหายสาบสูญไปเอง ทีนี้ลองหันไปดูการหยั่งเสียงของกัลลัพโพลที่ออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 30 เมษายนนี้ว่า คนอเมริกันเหลือความพึงพอใจในการบริหารจัดงานโรคโควิดให้แก่ประธานาธิบดีทรัมป์แค่เพียง 50% ซึ่งลดลงไปถึง 10% ในช่วงระยะเวลาสั้นๆเพียงสิบห้าวัน และหากจะเปรียบเทียบคะแนนนิยมจากสำนักหยั่งเสียงเกรดเอชื่อดัง Monmouth University Poll ที่ระบุเอาไว้ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมนี้ว่า โจ ไบเดน มีคะแนนนิยมนำเหนือประธานาธิบดีทรัมป์ถึงเก้าเปอร์เซ็นต์คือ 50% : 41% อนึ่งขณะที่คะแนนนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังร่วงดิ่งตกลงไปเรื่อยๆนั้น ยังปรากฏปัญหาที่ประเดประดังเข้าไปรุมเร้าเกี่ยวกับกรณีของ “ไมเคิล ฟลินน์” อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงปลอดภัยคนแรกที่อยู่ในตำแหน่งแค่เพียง 24 วัน ก็ถูกเขาสั่งปลดออกในข้อหาโกหกเจ้าหน้าที่เอฟบีไอเรื่องรัสเซียเข้าไปแทรกแซงการเลือกตั้งปี 2016 กระนั้นก็ตามกลับปรากฏว่า “อัยการพิเศษ โรเบิร์ต มุลเลอร์”ได้ออกมาเอ่ยปากร้องขอต่อผู้พิพากษาให้ละเว้นโทษจำคุก ไมเคิล ฟลินน์ สืบเนื่องมาจากเขาให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบสวนถึง 19 ครั้ง และจากการที่ฟลินน์ยอมรับสารภาพเขาจะเหลือโทษจำคุกแค่เพียงหกเดือน จากที่โดนตัดสินพิพากษาจำคุกทั้งหมด 5 ปี !!! จู่ๆเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมานี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ผู้อยู่เบื้องหลังในการผลักดันให้ “รัฐมนตรียุติธรรมวิลเลียม บารร์” ออกมาประกาศยกเลิกข้อกล่าวหาต่อไมค์ ฟลินน์ โดยใช้ข้ออ้างที่ว่า “ตามมาตราสองของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ประธานาธิบดีสามารถทำอะไรก็ได้” มีผลทำให้อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา อดรนทนมิได้ต้องออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ทำลายขบวนการยุติธรรม” และยังกล่าวตำหนิการบริหารจัดการรับมือต่อเชื้อไวรัสโควิด-19 ของประธานาธิบดีทรัมป์ว่า “เป็นเรื่องที่โกลาหลวุ่นวาย หายนะวินาศสันตะโรแบบสุดๆ” แถมด้วยอดีตข้าราชการในกระทรวงยุติธรรมและเจ้าหน้าที่หน่วยเอฟบีไอกว่า 1,900 คน ก็พากันออกมาเรียกร้องให้รัฐมนตรียุติธรรมลาออกไปจากตำแหน่ง และเมื่อมีเหตุวุ่นวาย มีผู้คนออกมากล่าวคัดค้าน จึงมีผลทำให้เมื่อวันอังคารที่เพิ่งจะผ่านมา “ผู้พิพากษากลางเอ็มเมธ ซัลลิแวน”ผู้พิพากษาเจ้าของคดีออกมากล่าวว่า “จะขอให้เลื่อนการพิพากษาคดีนี้ออกไปก่อน” ส่วนด้านการบริหารจัดงานเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโควิด- 19 ปรากฏว่าเมื่อวันอังคารที่เพิ่งผ่านมานี้ “ดร.แอนโทนี ฟาวซี”หนึ่งในทีมเฉพาะกิจควบคุมโรคระบาดโควิด- 19 ร่วมกับทีมแพทย์อีกสามท่านได้ออกมาให้การต่อวุฒิสภาว่า “หากสั่งให้ทุกๆอย่างเปิดตัวเร็วเกินไป ความหายนะและความตายของคนอเมริกันก็กำลังรออยู่เบื้องหน้า และหากเชื้อไวรัสร้ายแรงระบาดหนักยิ่งๆขึ้นไปกว่านี้อีก ก็ยิ่งจะทำให้ภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างยากลำบาก” เท่ากับว่าทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคระบาดวิทยาทั้งสี่ท่านนี้ มีความคิดความเห็นที่ตรงกันข้ามสวนทางกับนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์อย่างสิ้นเชิง!!! กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นหากจะวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมของประธานาธิบดีทรัมป์ในด้านที่เขามีความพยาบาทมาดร้ายอยู่ในใจ มีความดื้อรั้นไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ แม้จะเห็นได้อย่างค่อนข้างชัดเจนว่า “ตนเองเป็นคนผิด” โดยเขามักจะใช้เล่ห์เหลี่ยมอันแสนแพรวพราวอย่างที่ใครๆก็คาดไม่ถึง เพื่อต้องการจะเอาชนะทุกๆอย่างไม่เว้นแม้แต่การลงแข่งขันเลือกตั้ง และถึงแม้ว่าขณะนี้ อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังมีคะแนนนำอยู่ก็ตาม แต่ต้องไม่ลืมอีกข้อที่ว่า ไบเดนมิได้รับความชื่นชมกระตือรือร้นตื่นเต้นเร้าใจจากกลุ่มเยาวชนเข้าทำนองเดียวกันกับฮิลลารี คลินตันเมื่อครั้งการเลือกตั้งครั้งที่เพิ่งผ่านมา อีกทั้งการหาเสียงแบบฤษีนั่งเทียนหาแฟนคลับอยู่แต่ในถ้ำเพียงอย่างเดียว ก็อาจจะพ่ายแพ้ได้ไม่ยากเช่นกันละครับ