ได้เวลาเริงร่าของประชาชาวยุโรปกันบ้างแล้ว สำหรับ การผ่อนคลายมาตรการปิดพื้นที่ หรือล็อกดาวน์ ที่ดำเนินมานับเดือนกว่าในบรรดาประเทศของภูมิภาคยุโรปทั้งหลาย เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสร้าย นาม “โควิดฯ” หรือชื่อเต็ม “โควิด19” ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่ลุกลามไปแล้วไปในพื้นที่ 212 ประเทศทั่วโลก ณ เวลานี้ โดยมาตรการล็อกดาวน์ ในกลุ่มประเทศภูมิภาคยุโรป แทบจะทั้งหมด ก็เริ่มปิดพื้นที่กันมาตั้งแต่ช่วงกลาง – ปลายเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา แต่มีบางประเทศก็เริ่มมาตั้งแต่เดือน มี.ค. เลยทีเดียว เช่น ประเทศอิตาลี ซึ่งเริ่มล็อกดาวน์ ตั้งแต่วันที่ 9 มี.ค. เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดฯ โดยเมื่อกล่าวถึงสถานการณ์ในอิตาลี ต้องบอกว่า เป็นศูนย์กลางแพร่ระบาดของไวรัสโควิดฯ ในภูมิภาคยุโรปกันเลยทีเดียว ต่อจากการนครอู่ฮั่น มณฑลเหอเป่ย จีนแผ่นดินใหญ่ ที่เป็นต้นตอของไวรัสร้ายชนิดนี้ ก่อนที่จะแพร่ระบาดลุกลามไปทั่ว จนกลายเป็นวิกฤติด้านสาธารณสุขของโลกครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ขึ้น ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในภูมิภาคยุโรป ส่งผลให้มีผู้ป่วยติดเชื้อสะสมรวมแล้วมากกว่า 1.5 ล้านคน มากกว่าประเทศสหรัฐฯ ที่มีจำนวนกว่า 1.3 ล้านคน เสียอีก จนต้องประกาศบังคับใช้มาตรการปิดพื้นที่ หรือล็อกดาวน์ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดฯ ให้อยู่ในวงจำกัดมากที่สุด เท่าที่จะทำได้ การปลดมาตรการล็อกดาวน์ในบรรดาประเทศของภูมิภาคยุโรป ก็เริ่มขึ้นเมื่อต้นสัปดาห์นี้ คือ วันจันทร์ที่ผ่านมา โดยมีแผนการผ่อนคลาย รวมไปถึงการกลับมาเปิดพื้นที่กันใหม่อีกครั้งในประเทศต่างๆ ได้แก่ “สหราชอาณาจักร” ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน แห่งอังกฤษ ได้ประกาศแผนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ผ่านสถานีโทรทัศน์ เมื่อต้นสัปดาห์นี้ ซึ่งแผนการต่างๆ ก็อาทิเช่น การอนุญาตให้ประชาชนสามารถออกำลังกายกลางแจ้งได้ การท่องเที่ยวในสวนสาธารณะ ต้องอยู่ห่างกัน 2 เมตร พร้อมทั้งมีคำแนะนำว่า ในเวลานี้ ยังควรเลี่ยงที่จะใช้บริการขนส่งสาธารณะ และถ้าเป็นไปได้ ประชาชนก็ควรอยู่แต่ในบ้าน พยายามออกนอกเคหสถานให้น้อยที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ “ฝรั่งเศส” ทางการปารีสของประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง ก็จะให้เริ่มเปิดโรงเรียนระดับประถมศึกษากันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรงเรียนประถมฯ ที่จำนวนนักเรียน สามารถเปิดการเรียน การสอนได้เลย นอกจากนี้ ยังอนุญาตให้ร้านเสื้อผ้า ร้านหนังสือ ร้านตัดผม ร้านเสริมสวย และร้านดอกไม้ เปิดให้บริการได้ ยกเว้นภัตตาคารใหญ่ โรงภาพยนตร์ และบาร์ ไนท์คลับ ยังต้องปิดทำการต่อไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง “เบลเยียม” บรรดาธุรกิจส่วนใหญ่ จะได้รับอนุญาตให้เปิดทำการได้ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา แต่เงื่อนไขข้อแม้ว่า ห้างร้านต่างๆ เหล่านั้น ต้องจัดให้มีการเว้นระยะห่างทางสังคม หรือโซเชียลดิสแทนซิง (Social distancing) ส่วนภัตตาคารใหญ่ๆ บาร์ และคาเฟ่ ทางการบรัสเซลส์ ยังไม่อนุญาตให้เปิดทำการได้ ต้องรอฟังคำสั่งอีกที “เนเธอร์แลนด์” ทางการอนุญาตให้โรงเรียนประถมศึกษาเปิดทำการได้บางส่วน นอกจากนี้ ยังอนุญาตให้ห้องสมุด สถานกายภาพบำบัด โรงเรียนสอนขับรถ และร้านตัดผม ร้านเสริมสวย สามารถกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งได้ด้วย “สวิตเซอร์แลนด์” ทางการอนุญาตให้โรงเรียนประถมศึกษา และโรงเรียนมัธยมศึกษา สามารถเปิดการเรียน การสอนได้ แต่มีข้อแม้ให้ลดขนาดของจำนวนนักเรียนในแต่ละห้องลง โดยที่สวิตเซอร์แลนด์นั้น ได้อนุญาตให้ภัตตาคาร ร้านหนังสือ และพิพิธภัณฑ์ สามารถเปิดทำการได้ แต่ต้องมีมาตรการอื่นๆ ควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวด เช่น ผู้ใช้บริการต้องสวมหน้ากากอนามัย หน้ากาก ผ่านการวัดอุณหภูมิร่างกาย และต้องล้างมือฆ่าเชื้อโรค รวมถึงต้องเว้นระยะห่างทางสังคมด้วย “สเปน” ทางการรัฐบาลมาดริด อนุญาตให้ประชาชนสามารถรวมตัวกัน 10 คน ได้ รวมถึงการอนุญาตให้ร้านอาหารที่เป็นพื้นที่โล่งแจ้งเปิดทำการได้ แต่ต้องมีมาตรการการเว้นระยะห่าง โซเชียลดิสแทนซิง “เดนมาร์ก” ทางการโคเปนเฮเกน อนุญาตให้ศูนย์การค้า ช็อปปิงเซ็นเตอร์ทั้งหลาย สามารถเปิดทำการได้อีกครั้ง “โปแลนด์” ทางการก็อนุญาตให้บรรดาโรงแรมสามารถเปิดให้บริการได้ อย่างไรก็ตาม หากเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่จะมาเข้าพัก ต้องผ่านกระบวนการกักตัวเป็นระยะเวลา 14 วัน หรือสองสัปดาห์เสียก่อน นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า เยอรมนี ออสเตรีย และอิตาลี ก็ได้เริ่มเปิดพื้นที่ คลายล็อกดาวน์ ในช่วงสัปดาห์นี้ไปแล้วด้วยเช่นกัน แต่ต้องอยู่ในมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโรคต่างๆ เช่น สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า การวัดอุณหภูมิร่างกาย การฆ่าเชื้อโรค หรือการล้างมือ รวมไปถึงการเว้นระยะห่างทางสังคม อย่างไรก็ดี แม้ว่าทางการของประเทศต่างๆ ยังคงมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโรคเป็นประการต่างๆ ตามที่แสดงข้างต้น ทว่า ก็ยังสร้างความวิตกกังวลในด้านสาธารณสุขกันอยู่ดี โดยต่างหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การเปิดพื้นที่ ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ จะไม่นำมาซึ่งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดฯ รอบสองในยุโรปกันอีกคำรบ