CKP พร้อมเดินหน้าขยายการลงทุน คาดสถานการณ์ภัยแล้งผ่านจุดต่ำสุด มั่นใจกระแสเงินสดและสถานะทางการเงินแข็งแกร่ง้ ย้ำโควิด-19ไม่มีผลต่อการดำเนินงานผลิตไฟฟา นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (CKPower) ชื่อย่อหลักทรัพย์ “CKP” เปิดเผยว่าในไตรมาสแรกของปี 2563 CKP และบริษัทย่อย มีผลการดำเนินงานในภาพรวมลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2562 เนื่องจากช่วงฤดูร้อนปีนี้มีฝนตกน้อยกว่าค่าเฉลี่ยปกติค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นสภาวะน้ำแล้งที่ต่อเนื่อง มาจากปี 2562 ที่ผ่านมาที่มีปริมาณน้ำฝนต่ำสุดในรอบกว่า 50 ปี และส่งผลกระทบต่อการผลิตไฟฟ้าของทั้งโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 2 และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี อย่างไรก็ตามกำไรก่อนค่าใช้จ่ายทางการเงิน ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ก่อนรวมส่วนแบ่งกำไร (ขาดทุน)จากเงินลงทุนในกิจการที่ควบคุมร่วมกันและบริษัทร่วมอยู่ที่ 687 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 39% ของรายได้ แสดงถึงกระแสเงินสดรับที่ยังแข็งแกร่งแม้จะอยู่ในช่วงสภาวะฝนแล้งก็ตาม ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ 1/2563 CKP และบริษัทย่อย มีรายได้รวม 1,762 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 27 จากช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยรายได้ที่ลดลงส่วนใหญ่มาจากปริมาณขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า น้ำงึม 2 ที่ลดลง 353.5 ล้านหน่วยและปริมาณขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น โครงการที่ 1 (BIC-1) และโครงการที่ 2 (BIC-2) ที่ลดลง 22.4 ล้านหน่วย ในขณะที่โรงไฟฟ้าบางเขนชัยโซลาร์ ซึ่งรวมโครงการโซลาร์รูฟท๊อปทั้งหมดมีปริมาณขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านหน่วย ขณะเดียวกันบริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดตามงบการเงินรวม ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 จำนวน 4,547.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2562 จำนวน 333.5 ล้านบาท และมีอัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ในเกณฑ์ดี โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมอยู่ที่ 0.65 เท่า เมื่อเทียบกับข้อกำหนดของหุ้นกู้ที่ให้คงอัตราไม่เกิน 3.00 เท่า นายธนวัฒน์ กล่าวอีกว่า ในภาพรวมจากผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกนี้ บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเพียงพอในการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน ค่าใช้จ่ายทางการเงิน รวมถึงการลงทุนในการขยายธุรกิจ โดยบริษัทมีวงเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้รวมกว่า 10,000 ล้านบาทที่สามารถนำมาใช้ในการลงทุนขยายกิจการทั้งโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ และลงทุนในโครงการใหม่อีกด้วย ทั้งนี้หากในช่วงฤดูฝนปริมาณน้ำฝน กลับมาสู่สภาวะที่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยปกติ คาดว่าผลการดำเนินการตลอดทั้งปีของบริษัทจะเติบโตไม่น้อยกว่าปี 2562 โดยในปี 2563 จะเป็นปีที่บริษัทรับรู้รายได้เต็มปีจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี และโครงการโซลาร์รูฟท๊อปอีกจำนวน 5 โครงการ และมีแผน COD โครงการโซลาร์พื้นดินอีก 1 โครงการในไตรมาส 2 นอกจากนี้ สถานะทางการเงินที่มั่นคง และความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่องนั้น ยังสอดคล้องกับการประเมินผลการจัดอันดับของบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 28 เมษายนที่ผ่านมา ที่คงอันดับเครดิตองค์กรของ CKP ที่ระดับ “A คงที่” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทที่ระดับ “A- คงที่” โดยทริสฯ ยังเห็นถึงความแข็งแกร่งในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่มีความท้าทายในด้านธรณีวิทยา สิ่งแวดล้อม และเทคนิควิศวกรรม จนมีผลงานเป็นที่ยอมรับ มีผลการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ โดย ทริสฯยังมองว่า บริษัทมีกระแสเงินสดที่มั่นคงจากเงื่อนไขในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับผู้ซื้อที่มีความน่าเชื่อถือทุกราย โดยในส่วนของผลการดำเนินงาน ทริสฯมองว่า บริษัทจะมีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายทางการเงินภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย อยู่ในระดับเดียวกับปี 2562 คือประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งแสดงถึงสถานะทางการเงินของบริษัทที่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ รวมถึงยังมีสภาพคล่องที่เพียงพอในการดำเนินงานอีกด้วย นายธนวัฒน์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้บริษัทยังคงเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี โรงไฟฟ้าพลังน้ำน้ำงึม 2 โรงไฟฟ้าบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น โครงการที่ 1 (BIC-1) และโครงการที่ 2 (BIC-2) รวมถึงโรงไฟฟ้าบางเขนชัยโซลาร์ และส่งให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (EdL) เต็มกำลังการผลิต เพื่อให้ประชาชนได้มีไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอ ในช่วงที่รัฐบาลไทย และรัฐบาลลาวยังคงขอความร่วมมือให้ประชาชนอยู่บ้าน เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งเป็นโรคติดต่ออันตรายตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข สำหรับจากปรากฎการณ์ที่ปริมาณฝนตกน้อยผิดปกติ ตั้งแต่ปี 2562 คือปริมาณฝนสะสมในฤดูฝนที่เมืองหลวงพระบาง ซึ่งอยู่เหนือโรงไฟฟ้าไซยะบุรี มีค่าต่ำสุดในรอบหนึ่งร้อยปี เพียง 270 มิลลิเมตรเท่านั้น มีผลทำให้อัตราการไหลในแม่น้ำโขงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาก จากสถานการณ์ล่าสุดช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา เริ่มมีฝนตกในหลายพื้นที่ติดต่อกัน ทำให้อัตราการไหลของแม่น้ำโขงมีแนวโน้มสูงขึ้นจาก 1,200-1,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ในช่วงต้นปี 2563 มีอัตราการไหลที่ 2,200-2,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งสังเกตได้ชัดเจนจากสีของแม่น้ำโขงซึ่งเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลขุ่นทั้งด้านเหนือน้ำและท้ายน้ำ นับเป็นสัญญาณที่ดีว่าปีนี้แนวโน้มปริมาณน้ำในแม่น้ำโขง และปริมาณฝนน่าจะมีปริมาณที่สูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา และเป็นการพิสูจน์ว่าโรงไฟฟ้าไซยะบุรีไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการไหลของตะกอนในแม่น้ำโขงแต่อย่างใด