ท่ามกลางปรากฏการณ์ “มังกรลอบสยายกรงเล็บ” อันเป็นคำเปรียบเทียบว่า “จีนแผ่นดินใหญ่ ฉวยโอกาสขยายอิทธิพลในน่านน้ำทะเลจีนใต้” ในขณะที่นานาประเทศทั่วโลก กำลังมะรุมมะตุ้มตะลุมบอนกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือไวรัสโควิด-19 กันฝุ่นตลบอยู่นั้น ปรากฏว่า ทางการเวียดนาม แดนญวน ประเทศที่เผชิญหน้ากับพญามังกรจีนหนักหนาสาหัสที่สุด บนสังเวียนพิพาททางดินแดนเหนือน่านน้ำทะเลจีนใต้ ก็ได้มีแผนการตอบโต้การสยายกรงเล็บที่ว่านั้นอย่างฉับพลัน นั่นคือ การใช้ยุทธการคานอำนาจพญามังกร ด้วยการให้เหล่าชาติมหาอำนาจน้อยใหญ่ เข้ามาช่วยถ่วงดุลย์ ถึงขนาดเปิดเมือง ที่เป็นเมืองท่าสำคัญ ต้อนรับการมาเหล่ามหาอำนาจกันเลยทีเดียว โดยเมืองท่าดังกล่าวนั้นก็คือ “กามซัญ” หรือที่ต่างชาติหลายคนที่เรียกว่า “คัมรานห์” เพราะเรียกตามการสะกดในภาษาอังกฤษ “Cam Ranh” อันเป็นเมืองท่าริม “อ่าวกามซัญ (Cam Ranh Bay)” ชื่อเดียวกับชื่อเมือง ตั้งอยู่ใน จ.คั้ญฮหว่า ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม ทั้งนี้ นับตั้งแต่ล่วงสหัสวรรษ คือ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา เวียดนามได้ใช้เมืองท่ากามซัญ ต้อนรับการย่างกรายมาของเหล่ามหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรเก่า ใหม่ หรือแม้กระทั่งชาติที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาแต่เก่าก่อน โดยมหาอำนาจที่ตบเท้าเข้ามาก็เริ่มจาก “รัสเซีย” ในฐานะที่เคยเป็นพันธมิตรเก่า ตั้งแต่ครั้งสงครามเย็น ที่รัสเซีย ยังเป็นอดีตสหภาพโซเวียตรัสเซีย พี่เบิ้มใหญ่ของเหล่าชาติที่ปกครองระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ซึ่งเวียดนามก็อยู่ในสังกัดด้วย สำหรับปัจจุบัน รัสเซีย เจ้าของฉายา พญาหมี ก็ส่งยานรบทั้งทางน้ำ คือ เรือรบ และใต้น้ำ คือ เรือดำน้ำระดับชั้นต่างๆ มาเยือนเมืองท่า “กามซัญ” แห่งนี้อยู่เป็นระยะๆ ทั้งในด้านการมาเพื่อจอดแวะพัก และตั้งฐานสำหรับการฝึกซ้อมรบทางทหารกับกองทัพเวียดนามกันอยู่เนืองๆ นอกจากรัสเซียแล้ว เรือลำเลียงเรือดำน้ำของเนเธอร์แลนด์ ก็เคยมาสัมผัสบรรยากาศย่านเมืองท่าแห่งนี้แล้ว โดยเป็นการลำเลียงเรือดำน้ำที่เวียดนาม สั่งซื้อจากรัสเซีย แต่ใช้บริการเรือลำเลียงจากเนเธอร์แลนด์ แดนกังหัน ให้ช่วยมาขนส่งถึงเมืองท่ากามซัญ เช่นเดียวกับ มหาอำนาจด้านเทคโนโลยีทางฟากบูรพาทิศ อย่างญี่ปุ่น ทางการเวียดนาม ก็ไฟเขียวให้เรือรบของกองกำลังป้องกันทางนาวี เข้ามาเทียบท่ายังเมืองท่าแห่งนี้มาแล้วเช่นกัน โดยเมื่อกล่าวถึงญี่ปุ่น แดนซามูไรแล้ว ก็ถือเป็นชาติที่ยังระหองระแหงกับจีนแผ่นดินใหญ่ ในประวัติศาสตร์ที่มาของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กองทัพเลือดบูชิโดของญี่ปุ่น ยกพลขึ้นแผ่นดินใหญ่ จนเกิดการหลั่งเลือดในกรณี แต่ที่นับว่าโด่งดังก็เห็นจะเป็นกรณีสังหารหมู่ที่นานกิง ในปี 1937 (พ.ศ. 2480) เป็นอาทิ นอกจากนี้ ทางการเวียดนามก็ยังได้ไฟเขียวให้มหาอำนาจชาติที่เคยเป็นศัตรูตัวฉกาจครั้งสมัย “สงครามเวียดนาม” เมื่อหลายทศวรรษก่อน นั่นคือ “สหรัฐอเมริกา” เจ้าของสมญานาม “พญาอินทรี” คู่สงครามในมหายุทธ์ดังกล่าว ทั้งนี้ สหรัฐฯ และเวียดนาม เริ่มสางข้อพิพาทความขัดแย้ง ก่อนคืนดีกัน จนสรรค์สร้างสัมพันธ์ทางการทูตระดับปกติ ในปี 1995 (พ.ศ. 2538) สมัยประธานาธิบดีนายบิล คลินตัน เป็นผู้นำสหรัฐฯ ก่อนส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูง รวมถึงประธานาธิบดีเดินทางเยือนถึงถิ่นเวียดนามในยุคต่อๆ มา รวมทั้งสมัยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสหรัฐฯ โดยมีรายงานว่า ล่าสุด มีเสียงลือ เสียงเล่าอ้างว่า รัฐบาลฮานอย ถึงขั้นจะให้สหรัฐฯ มาเช่าพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งในย่านอ่าวกามซัญ หรือไม่ก็เป็นเกาะแก่งบางแห่งในทะเลจีนใต้ มาใช้สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ และให้เช่ากันแบบระยะยาวอีกต่างหากด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้น ทางการเวียดนาม รัฐบาลฮานอย ก็หมายใจว่า สหรัฐอเมริกา ซึ่งยังคงหมายตาที่จะทรงอิทธิพลในภูมิภาคแห่งนี้ จะช่วยมาถ่วงดุลย์อำนาจพญามังกรจีนแผ่นดินใหญ่ ที่กำลังขยายอิทธิพลในทะเลจีนใต้อย่างดุเดือดเข้มข้น ณ ชั่วโมงนี้