เจลล้างมือแอลกอฮอล์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตปกติใหม่ (New Normal) ปัจจุบันเจลแอลกอฮอล์มีหลายสูตร มีการใส่สารบำรุงผิวและเพิ่มกลิ่นให้น่าใช้มากยิ่งขึ้น ส่วนประกอบหลักที่ใช้ในการขึ้นรูปเจลแอลกอฮอล์คือคาร์โบพอล (Carbopol) ซึ่งเป็นโพลิเมอร์สังเคราะห์ ในช่วงที่โควิด-19 ระบาด พบว่าคาร์โบพอลมีราคาแพงและขาดตลาด “ไฮโดรแอลกอฮอล์เจล” ผลงานวิจัยของ อ.ดร.ธีรพงศ์ ยะทา จากหน่วยชีวเคมี ภาควิชาสรีรวิทยา คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ปี 2662 เป็นเจลแอลกอฮอล์ล้างมือสูตรธรรมชาติซึ่งมีการใช้พอลิเมอร์ “แซนแทนกัม” (Xanthan gum) ที่หาซื้อได้ทั่วไปทดแทนคาร์โบพอล ที่สำคัญคือมีความปลอดภัย เนื่องจากการทำเจลแอลกอฮอล์ด้วยคาร์โบพอลต้องใช้สารไตรเอทาโนลามีน (triethanolamine) ในการทำปฏิกิริยาสร้างเนื้อเจล ซึ่งหลายประเทศทางยุโรป โดยคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) จัดให้เป็นสารกลุ่ม ethanolamine ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการแพ้ ระคายเคือง และมีการศึกษาพบว่าสามารถทำปฏิกิริยากับสารเคมีบางชนิด ก่อตัวเป็นสารกลุ่มไนโตรซามีน (nitrosamines) ซึ่งในประเทศไทยอนุญาตให้ใช้สารนี้ได้แต่ต้องมีการจำกัดปริมาณการใช้และความเข้มข้นตามข้อกำหนดของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อ.ดร.ธีรพงศ์ เปิดเผยว่า แซนแทนกัมเป็นพอลิเมอร์ที่มีประสิทธิภาพในการโอบอุ้มแอลกอฮอล์ได้ยาก ในการวิจัยมีการนำองค์ความรู้มาปรับกรรมวิธีการผลิตให้สามารถรับแอลกอฮอล์ได้สูงสุดถึง 80 เปอร์เซ็นต์ โดยคงสภาพเนื้อเจลได้แม้เก็บไว้เป็นเวลา 1-2 ปี นอกจากนี้ยังนำน้ำมันหอมระเหยจากพืชสมุนไพรไทย เช่น ตะไคร้หอม มะกรูด มาใส่ในเจลแอลกอฮอล์โดยใช้เทคโนโลยีระดับนาโนในการกักเก็บน้ำมันหอมระเหยไว้ หลังจากแอลกอฮอล์ระเหย กลิ่นหอมก็ยังคงติดมือนานขึ้น นอกจากเจลแอลกอฮอล์แล้ว อ.ดร.ธีรพงศ์ยังได้พัฒนา “สเปรย์เจล” ที่มีการเพิ่มประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคได้ดี เพิ่มระยะเวลาในการสัมผัสกับเชื้อโรคได้นานขึ้นเหมือนกับเจลแอลกอฮอล์ โดยใช้แซนแทนกัมเป็นพอลิเมอร์ธรรมชาติที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวได้ดี ไม่แสบผิว เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ นวัตกรรมนาโนจากสมุนไพรธรรมชาติที่ปลอดภัยในการใช้งาน จึงเป็นผลงานวิจัยที่พลิก “วิกฤต” ในช่วงโควิด- 19 ให้เป็น “โอกาส” หากเจลแอลกอฮอล์ยังคงเป็นเครื่องมือป้องกันตนเองจากเชื้อโรคในระยะยาว ผลงานวิจัยนี้จึงเป็นอีกหนึ่งในตัวเลือกสำหรับผู้บริโภคในอนาคต” อ.ดร.ธีรพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย