ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเล และรองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Thon Thamrongnawasawat ระบุว่า...
แนวคิดปิดอุทยานปีละ 3 เดือนของท่านรมต. ถือเป็นแอคชั่นแรกๆ ของ new normal หลังโควิด
.
เป็นเรื่องดีครับ แต่ในทางปฏิบัติอาจต้องวางแผนให้รอบคอบและครบถ้วน โดยเฉพาะอุทยานทางทะเล
.
อุทยานทางทะเล 26 แห่งของไทย ตั้งอยู่กระจายไปทุกพื้นที่ มีทรัพยากรต่างกัน มีการใช้ประโยชน์ต่างกัน
.
บางอุทยาน เช่น ลำน้ำกระบุรี พูดชื่อไปแทบไม่มีใครรู้จัก มีนักเที่ยวทั้งปีแค่หมื่น
.
บางอุทยาน เช่น พีพี เกาะเสม็ด สิมิลัน ฯลฯ มีนักท่องเที่ยวหลายแสน บางแห่ง 2+ ล้าน (พีพี)
.
แม้แต่อุทยานที่มีคนเยอะ กลุ่มนักท่องเที่ยวก็ต่างกัน
.
บางแห่ง 95% เป็นต่างชาติ บางแห่งไทยครึ่งต่างชาติครึ่ง บางแห่งไทยเยอะต่างชาติน้อย
.
บางอุทยานปิดตามฤดูอยู่แล้ว เช่น สิมิลัน สุรินทร์ ปีละเกิน 3 เดือน พวกนั้นคงไม่ยาก
.
บางแห่งปิดบางพื้นที่ในบางฤดูกาล เช่น ลันตาปิดเกาะรอกฤดูมรสุม แต่อุทยานยังเปิดอยู่
.
บางแห่งมีพื้นที่ปิดถาวร เช่น พีพีมีเกาะยูง สิมิลันมีตาชัย
.
บางแห่งเปิดตลอดปีไม่มีปิด เช่น สิรินาถ ทะเลบัน เกาะเสม็ด
.
ผมยังไม่ได้จัดกลุ่มให้ชัดเจน เพราะนั่นต้องใช้พลังงานเยอะหน่อย
.
แต่เอามาให้เพื่อนธรณ์ดูคร่าวๆ ว่ามันซับซ้อนมาก
.
และอุทยานเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเต็มๆ สร้างรายได้มหาศาล เอาเฉพาะภูเก็ตก็ปีละ 4.4 แสนล้าน
.
การอนุรักษ์ที่รอบคอบ จะทำให้เกิดการท่องเที่ยวที่ดีงาม จะทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน จะทำให้เกิดเศรษฐกิจที่พอเพียง
.
อยากทำเช่นนั้น เราต้องมองครบทุกมุม เอาข้อมูลมาซ้อนเป็นชั้นๆ
.
สภาพทรัพยากร แนวปะการัง แหล่งสัตว์หายาก แหล่งท่องเที่ยวระดับต่างๆ ฯลฯ
.
จากนั้นดูในภาพใหญ่รวมกัน โดยแบ่งให้ถูกต้อง
.
เช่น กลุ่มนักเที่ยวภูเก็ตไปไหน กระบี่ไปไหน เพราะบางวันไม่ได้เข้าแค่อุทยานเดียว
.
ภาพใหญ่ยังอาจสัมพันธ์กับการท่องเที่ยว จะมีคลัสเตอร์อยู่แล้ว เช่น อันดามัน สมุย ตะวันออก ฯลฯ
.
เมื่อข้อมูลฐานเรียบร้อย ค่อยเขยิบขึ้นมาเป็นลำดับ จากกรมมากระทรวง
.
ทะเลไทยไม่ได้มีเพียงอุทยาน พื้นที่ธรรมชาติสำคัญอีกครึ่งหนึ่งอยู่ในการดูแลของกรมทะเล
.
สัตว์หายากที่เข้ามา หลายพื้นที่ไม่ใช่อุทยาน เช่น เต่ามะเฟืองเกินครึ่งออกไข่นอกเขตอุทยาน พะยูนบ้านเพว่ายข้างนอก ฯลฯ
.
แน่นอนว่าหากเริ่มจากอุทยานที่มีกม.ชัดเจนอยู่เป็นเรื่องดี แต่นี่เป็นขั้นแรก ยังมีอีกหลายขั้นที่ต้องมองในภาพรวม
.
จากกรม/กรม มาถึงกระทรวง พูดคุยข้ามกระทรวง รัฐ/เอกชน ทรัพยากร/ท่องเที่ยว เพื่อให้ได้แผน new normal ทั้งหมด
.
เมื่อได้แผนคร่าวๆ ว่าจะปิดเปิดที่ไหนอย่างไร ลองกลับไปที่พื้นที่ พูดคุยปรับเปลี่ยนให้เหมาะ จากนั้นส่งมารวมกันอีกที แล้วค่อยลงมือทำให้เกิดผลทางปฏิบัติ
.
ทั้งหมดนี้ จะเห็นว่าซับซ้อนและกินเวลาพอสมควร
.
ไม่ง่ายเหมือนแค่สั่งไปให้แต่ละอุทยานหาเวลาปิด 3 เดือนมา จากนั้นก็เอามารวมกันแล้วออกประกาศ
.
แต่ถ้าง่ายไปมันอาจเกิดปัญหา กระทบต่อการท่องเที่ยวที่กำลังต้องการการฟื้นตัวอย่างเร็ว
.
และเมื่ออนุรักษ์ปะทะท่องเที่ยว ในช่วงที่ประเทศต้องการฟื้นตัวเรื่องปากท้อง ผมพอมองเห็นว่าใครจะชนะ
.
ทั้งหมดนี้ อย่าเข้าใจผิด ผมสนับสนุนแนวคิดของท่านรมต. ที่สอดคล้องกับกระแสคนไทยที่อยากรักษาธรรมชาติดีๆ ไว้ให้อยู่ต่อไปนานๆ
.
ปิด 3 เดือน ปิด 4-5-6 เดือน ยิ่งนานผมยิ่งชอบ
.
แต่ผมก็ทราบดีว่าพอถึงเวลาจริง หากไม่รอบคอบ เราก็เจอกระแสต้าน
.
หากเรารอบคอบ เริ่มต้นแบบเหนื่อยหน่อย เราจะได้ระบบที่ดีและถาวร
.
และการอนุรักษ์จะไปคู่กับการพัฒนาได้ ไม่งั้นเขาก็จะบ่นเหมือนสมัยก่อน
.
เอะอะก็อนุรักษ์ คนจะอดตายอยู่แล้ว
.
ผมไม่อยากให้เกิดเหตุแบบนั้น เพราะสุดท้ายอนุรักษ์ก็จะแพ้
.
ผมอยากให้เราชนะไปด้วยกัน
.
วันนี้หากไม่มีอะไรผิดพลาด จะไปออก TV รายการสด NBT (ช่อง11) บ่ายสี่ ก็จะพูดเรื่องนี้แหละ
.
ให้กำลังใจท่านรมต.และผู้บริหารในกระทรวง สนับสนุนแนวคิด และอยากให้เริ่มต้นอย่างมั่นคงครับ ?