คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ ดร.วิวัฒน์  เศรษฐช่วย   การเมืองด้านต่างประเทศที่เกิดขึ้นและกำลังร้อนระอุระหว่าง “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”แห่งเมือพญาอินทรี กับ“ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” ผู้นำของพญามังกรจีนในขณะนี้ นับว่าแสนสลับซับซ้อนต่างคนต่างวางสไตล์เดินเกมส์การเมืองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เห็นได้ค่อนข้างเด่นชัดเลยว่าประธานาธิบดีทรัมป์เดินเกมส์แบบโผงผางสุ่มเสี่ยงเดายากส์ว่าจะมาไม้ไหนกันแน่ ส่วนประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เดินเกมต่างประเทศอย่างสุขุมรอบคอบ มั่นคงและมีวินัยสูง วางมาดผู้นำที่เต็มไปด้วยพลังอันน่าเกรงขาม อีกทั้งยังพอจะคาดคะเนย์แนวทางของเขาได้ไม่ยากส์นัก!!! โดยพฤติกรรมแล้วประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เป็นนักการเมืองที่มีจิตใจไม่ค่อยแน่วแน่มีอารมณ์แกว่งๆ แถมยังไม่ปล่อยวางมีความพยาบาทมาดร้าย แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ยังมีความสามารถพิเศษในการเปลี่ยนท่าทีได้อย่างเร็วไวตามสถานการณ์หน้างาน เปรียบเสมือนจิ้งจกเปลี่ยนสีไปได้แทบทุกเมื่อ ยกตัวอย่างดังเช่น กรณีสงครามด้านการค้ากับจีน โดยครั้งนั้นประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมาป่าวประกาศขึ้นภาษีต่อจีน โดยไม่มีใครคาดฝันมาก่อน ทำนองเดียวกันกับกรณีโรคโควิด 19 ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างรุนแรงล่าสุดนี้!!! จากนิตยสาร “Foreign Policy”วันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมานี้ได้เขียนบรรยายเอาไว้ว่า “ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคมปีนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมากล่าวชื่นชมประธานาธิบดีสีจิ้นผิง เกี่ยวกับการบริหารจัดการโรคระบาดไวรัสโควิด19 บ่อยๆถึง 15 ครั้งว่า บริหารจัดการได้อย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ” และต่อมาเมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมานี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ก็ยังยกหูโทรศัพท์พูดคุยสนทนากับประธานาธิบดีทรัมป์ โดยจีนเอ่ยปากว่า “จะยื่นมือให้ความช่วยเหลือต่อสหรัฐฯเกี่ยวกับโรคระบาดโควิด 19” โดยสามวันต่อมาได้มีเครื่องบินๆตรงจากเมืองเซี่ยงไฮ้ขนเอาอุปกรณ์ต่างๆอาทิ ถุงมือ หน้ากาก รวมถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์กว่าแปดสิบตัน เพื่อให้สหรัฐฯส่งต่อนำไปแจกจ่ายผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด 19 ที่นครนิวยอร์ก นิวเจอร์ซี คอนเนคติคัต และยังมีแผนว่าจะขนส่งอุปกรณ์ต่างๆไปยังสหรัฐฯถึง 21 เที่ยวบินอีกด้วย!!! นอกจากนั้นแล้ว “มหาเศรษฐีแจ๊ค หม่า”แห่งอาลีบาบายังแสดงมิตรไมตรีอันดีด้วยการส่งหน้ากากไปให้สหรัฐฯหนึ่งล้านชิ้น และเครื่องตรวจหาเชื้อไวรสอีกห้าแสนชิ้น  แต่เมื่อจำนวนของผู้ที่เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสโควิด19 ในสหรัฐฯอเมริกาเพิ่มสูงมากขึ้นจนอยู่ในลำดับแรกของโลก มีเหตุทำให้ผู้ว่าฯจากรัฐต่างๆออกมากล่าวโจมตีตำหนิติเตียนว่า เหตุที่สหรัฐฯมีการแพร่ระบาดและมียอดผู้เสียชีวิตอย่างมากมายมหาศาลเยี่ยงนี้ ก็เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ทำงานล่าช้าไม่ทันการณ์  มีผลทำให้คะแนนนิยมของเขาร่วงดิ่งลงมาเหลืออยู่แค่เพียง 42% และแล้วกลับปรากฏว่าประธานาธิบดีทรัมป์พลิกเกมส์มองซ้ายเล็งขวาหาแพะเข้ามารับบาปแทนตน จากที่เคยกล่าวชื่นชมประธานาธิบดีสี จิ้นผิงกลับเปลี่ยนท่าทีพลิกหน้ามือเป็นหลังมือออกมาแถลงว่า เชื้อไวรัสโควิด19 ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ขณะนี้หลุดมาจากห้องแลปของจีน และยังได้กล่าวโจมตีต่อไปว่า “จีนไม่มีความโปร่งใสในการให้ข้อมูลเรื่องนี้” นัยหนึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์หวังผลในการเลือกตั้ง เพื่อให้คนอเมริกันเห็นว่าเขาแข็งแกร่งไม่ยอมอ่อนข้อต่อจีน  และเนื่องจากขณะนี้คะแนนนิยมลดต่ำลง เขาจึงเอ่ยปากข่มขู่ผู้จัดการหาเสียงของเขาว่า “จะฟ้องร้อง หากคะแนนนิยมของข้าพเจ้ายังไม่ดีขึ้น” นอกจากนั้นแล้วประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้ตั้งข้อกล่าวหาต่อไปว่า “จีนต้องการจะให้เขาพ่ายแพ้การเลือกตั้ง เพื่อให้โจ ไบเดนได้รับชัยชนะ”และยังได้ชูประเด็นอย่างน่าต๊กกะใจอีกว่า “จีนจะต้องจ่ายค่าเสียหาย สาเหตุที่เป็นต้นเหตุทำให้ไวรัสโควิด 19 แพร่ระบาดในสหรัฐอเมริกา”    และเมื่อวันจันทร์ที่เพิ่งผ่านมานี้ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “มีหลายวิธีด้วยกันที่จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากจีน” ส่วนรัฐมนตรีต่างประเทศไมค์ ปอมเปโอ ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อวันจันทร์ในทำนองเดียวกันว่า “ไวรัสโควิด 19เกิดขึ้นจากห้องแลปของจีน”แต่ครั้งนี้จีนมิยอมนิ่งเฉยออกมาโต้ตอบว่า “รัฐมนตรีฯปอมเปโอบ้าที่ออกมาพูดเช่นนี้” มีผลทำให้ความตึงเครียดทวีความรุนแรงต่อสองประเทศยักษ์ใหญ่มหาอำนาจอย่างน่าหวั่นวิตกไม่น้อย โดยโจ ไบเดน อดรนทนไม่ได้ต้องออกมาโต้แย้งว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการจะหันเหความสนใจจากทั่วโลกที่กำลังเพ่งเล็งว่า เขาล้มเหลวด้านการบริหารจัดการโรคโควิด19 ต่างหาก” อนึ่งขณะที่สหรัฐฯกำลังกล่าวประนามโจมตีโยนความผิดให้กับจีนอยู่นั้น  “แวน เคิร์กโฮพ” เจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลกได้เดินทางไปสำรวจตรวจสอบเมืองวู่ฮั่นนานกว่าสองสัปดาห์ โดยเธอได้กล่าวว่า“ดิฉันต้องขอกล่าวชื่นชมประชาชนและเจ้าหน้าที่ในทุกๆระดับของเมืองวู่ฮั่นที่ทุกๆคนต่างเคร่งครัดและรักษามาตรฐานด้านการป้องกันบริหารจัดการต่อไวรัสโควิด 19 ได้อย่างดีเยี่ยม” แต่ดูเหมือนว่าประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงอย่างเช่น เยอรมัน อังกฤษ และ ออสเตรเลีย ต่างก็ออกมาถามหาคนรับผิด พากันเห็นด้วยกับประธานาธิบดีทรัมป์ที่ว่ากล่าวตำหนิติเตียนจีนว่าเป็นต้นเหตุทำให้เชื้อไวรัสโควิด 19 แพร่ระบาด!!! เมื่อสบช่องเหมาะเริ่มมีพวกพ้องเข้าข้างประธานาธิบดีทรัมป์ก็รีบฉกฉวยโอกาสสร้างพันธมิตรทั้งจากนักการเมืองของพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรสและจากผู้นำนักการเมืองท้องถิ่น เพื่อดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากจีน โดยเมื่อวันที่ 21 เมษายนนี้อัยการสูงสุดของรัฐมิสซูรีได้ยื่นฟ้องประเทศจีนผ่านศาลรัฐบาลกลางเรียกค่าเสียหายที่ปล่อยให้โรคโควิด 19 แพร่ระบาดในสหรัฐอเมริกา ส่วนสภาคองเกรสได้มีวุฒิสมาชิกและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรครีพับลินกันต่างวาระสี่ชุดด้วยกัน ที่ออกมายื่นร่างกฎหมายเปิดช่องทางสามารถฟ้องร้องต่อจีนที่สร้างความเสียหายให้แก่อเมริกันชน แถมพรรครีพับลิกันยังออกมาเอ่ยปากกล่าวหานักการเมืองค่ายพรรคเดโมแครตว่า “อ่อนแอไม่กล้าเกรงกลัวที่จะเข้ามาร่วมมือฟ้องร้องประเทศจีน” อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายระหว่างประเทศของมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีชื่อเสียงโด่งดังต่างๆอาทิเช่น เบอร์กเล่ย์ และมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียให้ออกมาสัมภาษณ์ว่า “ยากส์เต็มทนที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากจีน” อนึ่งขณะนี้ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังเผชิญต่อปัญหาที่เข้ามารุมเร้าอย่างรุนแรงมากมายหลายอย่าง โดยเฉพาะด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เกิดจากผลกระทบของเชื้อไวรัสโควิด 19 และจากการหยั่งเสียงของสำนักข่าวเอพีเมื่อวันที่ 24 เมษายนนี้ระบุว่า สมาชิกพรรครีพับลิกันที่ไว้วางใจประธานาธิบดีทรัมป์มีอยู่เพียง 50% โดยอีก 22% ไม่ไว้วางใจประธานาธิบดีทรัมป์เลยแม้แต่น้อย!!! ขณะนี้ยังไม่มีใครสามารถคาดเดาได้เลยว่าการฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจที่กำลังเศร้าซึมซบเซาของสหรัฐฯจะต้องใช้งบประมาณมากน้อยกี่หมื่นล้านเหรียญ และขณะนี้ปัญหาคนว่างงานก็เพิ่มขึ้นถึง 20% และยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มยิ่งๆขึ้นไปอีกเรื่อยๆ กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นการที่สหรัฐฯและนานาประเทศกำลังออกมากล่าวหาว่า จีนเป็นต้นตอทำให้เชื้อไวรัสโควิด19 แพร่ระบาดจนมียอดของผู้ป่วยติดเชื้อและมีจำนวนของผู้เสียชีวิตทั่วทุกมุมโลกไปแล้วมากมายมหาศาล และการที่สหรัฐฯออกมากล่าวอ้างว่ามีหลักฐานที่สามารถจะมัดตัวจีนผู้กระทำความผิดได้จริงๆ ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะนำหลักฐานที่ว่าออกมาเผยแพร่ให้โลกได้รับรู้ เพื่อผู้คนจะได้หายข้องใจกันเสียทีว่า การที่ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังร้องแรกแหกกระเชออยู่ในขณะนี้ ก็เพียงเพราะว่าต้องการจะหาแพะเข้าไปรับบาปแทนตนเองละครับ