นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารพรรครวมพลังประชาชาติไทย(รปช.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ระบุว่า..จดหมายจากหมอวรงค์ถึงหมอทวีศิลป์ ถึงน้องทวีศิลป์พี่ต้องขอโทษน้องด้วย ที่ต้องเขียนจดหมายถึงน้องครั้งนี้ เพราะทราบว่าน้องกำลังยุ่งกับงานของลุง แต่พี่ก็รู้สึกอึดอัดต่อพฤติกรรมของนักการเมืองบางคน พี่คิดว่าความเป็นจิตแพทย์ของน้อง น่าจะช่วยใช้หลักวิเคราะห์ทางจิตเวช หรือจิตวิทยาได้ เรื่องมีอยู่ว่า มีชายไทยคู่ คนหนึ่งอายุประมาณ 40 ปีเศษ พี่ได้สังเกตพฤติกรรมของเขามานาน ดูแปลกๆ แรกๆพี่รู้สึกว่าเขาเวอร์ๆ คิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่นทุกเรื่อง มองโลกในแง่ร้ายมากๆ มีตรรกกะป่วยๆ เดิมพี่ไม่ค่อยสนใจเท่าไร แต่นานๆไปเขาก็ยังเหมือนเดิม ดูยิ่งนาน กลายเป็นว่าโกหกหลอกลวงซ้ำซาก ซึ่งดูแล้วคนปกติไม่ทำกัน พี่จะเล่าประวัติของเขาให้น้องช่วยวิเคราะห์ ตอนเขาเปิดตัวเล่นการเมืองใหม่ๆ ก็ดูน่าสนใจ สิ่งที่ฮือฮามากเลย เขาเปิดโครงการไฮเปอร์ลูป ว่าจะศึกษา เอามาใช้เดินทางในประเทศ ทั้งๆที่โครงการนี้ยังเป็นแค่งานวิจัยไม่มีประเทศไหนในโลกนี้ใช้จริง ช่วงนั้นพี่ก็คิดเพียงว่าคงต้องการโชว์ว่าตนเองเหนือกว่ารัฐบาล เพราะรัฐบาลกำลังเริ่มโครงการรถไฟความเร็วสูง เขาจึงโชว์ว่าเขาเหนือกว่า แต่พี่แปลกใจทำไมเขากล้าเสนอแบบเหมือนเป็นโครงการจริงๆแต่มันไม่จริง สุดท้ายก็ได้เอกสารไร้สาระมา 1 เล่ม พี่ก็ไม่ได้ถือสาอะไร คิดว่าพวกขี้โม้ธรรมดา พี่มาเจอเรื่องถัดมา ก็คือเรื่องบลายทรัสต์ เขาต้องการโชว์ว่าเขาเหนือกว่านักการเมืองคนอื่นอีกแล้ว ว่าตนเองโปร่งใสที่สุด เขาเคยจัดแถลงข่าวเมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2562 ว่าได้ทำบันทึกตกลงร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนภัทร จำกัด เพื่อนำหุ้นในบริษัทมหาชน ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ โอนให้บริษัทดังกล่าวเป็นผู้จัดการทรัพย์สิน ขอเหลือไว้แต่บ้านที่อยู่อาศัย รถ และต่างหูของภรรยาเท่านั้น และจะเจอทรัพย์สินของเขาอีกที ก็ต่อเมื่อเลิกทำงานการเมืองแล้ว ตอนนั้นพี่ดูเขาเท่ห์มาก สุดท้ายเรื่องก็มาแดงตอนเขายื่นบีญชีทรัพย์สินต่อป.ป.ช. กลับไม่มีเรื่องบลายทรัสต์ เท่ากับว่าเขากำลังหลอกประชาชน แบบหน้าตาเฉยอีกแล้วเหรอ เพียงเพื่อต้องการโชว์ว่า ตนเองเหนือกว่าคนอื่น สิ่งที่พี่ยิ่งตกใจคือ ตอนที่เขาไปให้ปากคำต่อศาลรัฐธรรมนูญคดีหุ้นวีลักษ์มีเดีย เขายังกล้าต่อรองต่อศาลทำนองว่าถ้าหลุดคดี จะดำเนินเรื่องบลายทรัสต์ โดยเฉพาะการที่เขากล้าตำหนินักโทษหนีคดีคนหนึ่ง เพื่อเอาตัวรอดว่า “ผมตั้งใจอย่างจริงจังที่จะทำงานการเมืองโดยไม่อยากให้มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน อย่างที่นายทักษิณ ชินวัตร โดนมาก่อน ต้องการให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย” “ผมไม่ต้องการเข้ามาเพื่อมีผลประโยชน์หรือบริวารห้อมล้อมเหมือนนายทักษิณ เพราะผมอยากเปลี่ยนแปลงสังคมนี้ ซึ่งถ้ายังอยู่แบบนี้ก็จะเดินต่อไปไม่ได้” ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นเขาเคยบอกกับสังคมว่า จะคืนความเป็นธรรมให้นายทักษิณ มันยิ่งสะท้อนความคิดของเขาว่า เขาเหนือกว่านายทักษิณ ด้วยการเหยียบเพื่อต่อรองแต่หลักการของเขากลิ้งไปกลิ้งมา ที่สำคัญพี่ดูเขาให้การแบบหงุดหงิด เก็บอาการไม่อยู่ น้องเชื่อไหมว่าพี่ชักจะเริ่มสงสัยในสุขภาพจิตของเขาละว่า ทำไมคนจึงกล้าโกหกและต่อรองศาลแบบหน้าตาเฉย ไม่รู้สึกละอายเลย ต่อมาพี่ก็มาเจอคดีการปล่อยเงินกู้ให้พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ที่พี่แปลกใจ เขาพูดเรื่องการให้พรรคกู้แต่ละครั้งตัวเลขไม่ตรงกันเลยคือ วันที่ 5 เมษายน 2562 เขาพูดระหว่างการแถลงข่าวหลังการเลือกตั้ง ในงานอนาคตใหม่ไฟแรงเฟร่อ​! ว่าพรรคกู้เงินตนเอง 90 ล้านบาท -วันที่ 15 พฤษภาคม 2562 เขาไปพูดที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ให้พรรคกู้เงิน 110 ล้านบาท -ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2562 เขาให้ปากคำกับคณะกรรมมการสอบสวนและไต่สวนของกกต.ว่าให้พรรคกู้ 161.2 ล้านบาท -วันที่ 25 สิงหาคม 2562 เขายื่นบัญชีทรัพย์สินต่อปปช. ให้พรรคกู้เงิน 191.2 ล้านบาท ถึงตรงนี้แล้ว น้องเริ่มเห็นภาพแล้วใช่ไหมว่า คนอะไรที่ชอบโกหกซ้ำซากแบบหน้าตาเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พี่เริ่มคิดว่าคนปกติทำไม่ได้นะ แค่นี้ยังไม่จบยังมีต่อ ในช่วงโควิด-19 ขณะที่สังคมไทยกำลังตื่นตัวที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาล ประเทศไทยได้รับคำชื่นชมจากนานาชาติ เขาออกมาเหมือนมนุษย์วิเศษเลย ว่าเป็นผู้ออกแบบห้องตรวจ negative pressure หรือห้องตรวจความดันลบ เพื่อป้องกันเชื้อโควิด-19 เขาต้องการโชว์ว่าตัวเองเก่งและฉลาดกว่าคนอื่น จึงคิดออกแบบห้องที่ว่า ซึ่งถ้าเขาต้องการบริจาคจริงๆ ก็สามารถบริจาคเงินซื้อ เพื่อมอบให้โรงพยาบาลได้ แต่เขาต้องเหนือกว่าคนอื่น คือเป็นผู้ออกแบบ แต่สุดท้ายถูกแฉโดยโซเชียลว่าไปลอกแบบคนอื่นมา ที่สำคัญจนป่านนี้แล้ว ยังไม่มีภาพข่าวว่าเขาได้ทำไปเพื่อบริจาคจริงๆ จนตอนนี้โควิดเกือบจะหมดแล้ว ที่หนักที่สุดเห็นจะเป็นการเยียวยา5,000 บาทของทางรัฐบาล ที่อาจมีปัญหาอุปสรรคบ้าง แต่เขามาเหนือกว่ามากด้วยข้อความ "ผู้ที่เดือดร้อนรับได้เลยทันทีอย่างถ้วนหน้า 3,000 บาทไม่ต้องพิสูจน์ความจน" พี่เห็นแล้ว การให้แบบถ้วนหน้า เท่ากับการให้ทุกคน มันเป็นไปไม่ได้ หรือเขาต้องการโชว์ว่าเขาเหนือกว่าอีกแล้ว ทั้งๆที่มันไม่จริง สุดท้ายคนขอเป็นล้าน แต่ให้แค่หลักพัน แล้วเขาก็ถูกสังคมต่อว่า สมุนเคยว่ารัฐบาลขอทาน แต่นี่มาขอทานเสียเอง ที่สำคัญโกหกหลอกลวงซ้ำแล้วซ้ำอีก และเขาก็ออกมาขอโทษประชาชน แต่ที่แปลกคือตรรกกะที่อ้างว่าเพราะไม่ได้เป็นรัฐบาล และกลายเป็นให้เอามาเป็นความแค้น ที่พี่รวบรวมข้อมูลขั้นต้นมาให้น้อง เพราะพี่ไม่เคยเจอใครที่โกหกประชาชนแบบซ้ำซาก คิดว่าตนเองเหนือกว่าคนอื่น ที่สำคัญดูสีหน้าแววตาของเขา แบบไม่รู้สึกสะทกสะท้าน เหมือนหลงผิด พี่คิดว่าโดยสามัญสำนึก คนที่โกหกซ้ำซากต้องมีสีหน้าละอายบ้าง แต่นี่กลับไม่มีเลย สมัยที่พี่เป็นนักศึกษาแพทย์ พี่จำอาการอย่างหนึ่งได้คือ delusion อาการหลงผิด คือมีความคิด ความเชื่อที่ผิดๆ ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ฝังแน่น ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยเหตุด้วยผล พี่เลยไม่แน่ใจว่า พฤติกรรมที่พี่เล่าให้น้องทราบนี้เป็นอาการหลงผิดหรือไม่ หรือเป็นแค่ สันดาน พี่เห็นน้องเป็นจิตแพทย์ เลยเขียนเป็นจดหมายมาหารือ แต่น้องไม่ต้องตอบพี่ก็ได้ พี่เข้าใจดีว่ามันเกี่ยวของกับจรรยาบรรณของจิตแพทย์ แต่พี่อยากให้น้องได้ทราบเป็นข้อมูล เพราะพี่ทราบข่าวว่า น้องกำลังโดนสมุนเขาถล่มอยู่เช่นกัน น้องจะได้เข้าใจบริบททั้งหมดว่า ลูกพี่เป็นแบบนี้ แล้วสมุนจะเป็นแบบไหน ถือว่าพี่บ่นและให้ข้อมูลน้องไว้ละกัน วันหลังพี่จะเขียนไปอีกนะ เพราะยังมีพรรคพวกเขา แต่ละคนอาการไม่น่าจะต่างกันมาก โดยเฉพาะเกลอของเขานั้นไม่แพ้กันเลย แล้วพี่จะเขียนมาเป็นข้อมูลให้น้องเอาไปวิเคราะห์ จะได้เข้าใจสถานการณ์ ท้ายนี้พี่ขอส่งกำลังใจให้น้องนะ ทราบว่าประชาชนร่วมเชียร์น้องอยู่ และฝากความเคารพถึงอาจารย์ทุกท่านด้วย