กรมวิชาการเกษตร เฟ้นหาเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติสาขา GAP และเกษตรอินทรีย์ ประจำปี 2563 มติเอกฉันท์มอบรางวัลเกษตรกรสวนชมพู่ จ.ราชบุรี และสวนลองกอง จ.นราธิวาส เผย เกษตรกรยึดหลักผลผลิตมีคุณภาพ ต้องมาจากการจัดการสวนที่เป็นระบบ พร้อมมุ่งมั่นรักษามาตรฐานความปลอดภัยเพื่อผู้บริโภค เมื่อวันที่ 8 พ.ค. นางสาวเสริมสุข สลักเพ็ชร์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ในทุกปีกรมวิชาการเกษตรจะพิจารณาคัดเลือกเกษตรกรดีเด่นที่ผลิตพืชตามมาตรฐาน GAP และเกษตรอินทรีย์ เพื่อยกย่องประกาศเกียรติคุณ และเผยแพร่ผลงานให้สาธารณชนทั่วไปได้รู้จัก ยึดถือแนวทางการปฏิบัติงานเป็นแบบอย่าง เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่เกษตรกรตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในปี 2563 นี้กรมวิชาการเกษตรได้คัดเลือกให้นายสมชาย เจริญสุข เกษตรกรเจ้าของสวนชมพู่เจริญสุข บนพื้นที่ 15 ไร่ ตำบลดอนคา อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี ได้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ สาขาการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืช (GAP) โดยนายสมชายได้ทำสวนชมพู่ทับทิมจันทร์ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะผลิตชมพู่ให้มีรสชาติอร่อย ผลผลิตมีคุณภาพ คงไว้ซึ่งมาตรฐาน ภายใต้แนวความคิดพัฒนาและแบ่งปันความรู้ นายสมชาย ทำสวนชมพู่โดยมีแนวคิดที่จะยกระดับผลผลิตของสวนตนเองให้สินค้าได้รับความเชื่อมั่นทั้งในด้านคุณภาพและความปลอดภัย โดยเชื่อว่า“ผลผลิตพรีเมี่ยม ต้องมาจากการจัดการสวนที่เป็นระบบ” ดังนั้นในปี 2554 จึงได้สมัครขอการรับรองมาตรฐาน GAP กับศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรราชบุรี กรมวิชาการเกษตร ซึ่งการได้รับรองมาตรฐาน GAP ทำให้ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า และเพิ่มโอกาสช่องทางการตลาดได้มากขึ้น สามารถจำหน่ายให้กับบริษัทส่งออกไปตลาดต่างประเทศทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ นายสมชาย ยังเป็น 1 ในเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาการส่งออกชมพู่จากประเทศไทยไปจีนร่วมกับกรมวิชาการเกษตร เนื่องจากในช่วงปี 2555 ได้เกิดปัญหากระทรวงควบคุมคุณภาพการตรวจสอบและกักกันโรคแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (AQSIQ) ประกาศระงับการนำเข้าชมพู่จากประเทศไทยเป็นการชั่วคราวเพราะตรวจพบแมลงวันผลไม้ โดยสมชายได้ให้ความร่วมมือและเดินหน้าแก้ไขปัญหาไปพร้อมกับกรมวิชาการเกษตรทำให้สวนชมพู่เจริญสุขเป็น 1 ใน 6 สวนแรกที่ได้รับการพิจารณาขึ้นทะเบียนจากกรมวิชาการเกษตรอนุญาตให้ส่งออกไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ และยังเป็นสวนต้นแบบให้กับแปลงอื่นในการผลิตชมพู่ส่งออกได้เข้ามาศึกษาอีกด้วย อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า สำหรับเกษตรกรที่ได้รับรางวัลดีเด่นสาขาเกษตรอินทรีย์ คือ นายเมธี บุญรักษ์ เกษตรกรที่เริ่มต้นทำเกษตรอินทรีย์จากไม่มีข้อมูลและความรู้ใดๆ ในการพัฒนาพื้นที่จำนวน 10 ไร่ให้เป็นแปลงอินทรีย์จึงได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลและได้เรียนรู้ระบบการจัดการสวนตามมาตรฐานการผลิตพืช GAPและมาตรฐานการผลิตพืชอินทรีย์จากศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรนราธิวาส กรมวิชาการเกษตร และได้มีการพัฒนาองค์ความรู้ในการทำการเกษตรมาอย่างต่อเนื่อง โดยยึดแนวคิดในการทำการเกษตรเพื่อลดการใช้สารเคมีและลดต้นทุนการผลิต โดยในปี 2561ได้สมัครขอรับรองแหล่งผลิต GAPพืช และขอรับรองแหล่งผลิตพืชอินทรีย์จนผ่านการรับรองมาตรฐานพืชอินทรีย์กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (Organic Thailand) จากสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 8 จ.สงขลา ในกระบวนการผลิตที่สวนของนายเมธี จะใช้วิธีการตัดหญ้า ปลูกหญ้าแฝกพร้อมกับปลูกพืชตระกูลถั่วเพื่อคลุมวัชพืชในสวนและป้องกันการระเหยของความชื้นในดิน มีการปรับปรุงบำรุงดินโดยใช้ปุ๋ยหมักและใช้ปุ๋ยชีวภาพจากแหนแดง ส่วนการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืชจะเน้นการป้องกันมากกว่าการกำจัดโดยใช้ไส้เดือนฝอยสายพันธุ์ไทยฉีดพ่นร่วมกับวิธีเขตกรรม เช่น การดูแลแปลงให้สะอาด การดูแลพืชปลูกให้สมบูรณ์แข็งแรงและใช้สารไล่แมลงจากพืชที่ทำขึ้นเอง ส่งผลให้สามารถลดต้นทุนการผลิต และจำหน่ายผลผลิตได้ในราคาที่สูงกว่าสินค้าเกษตรทั่วไป โดยผลผลิตลองกองท้องถิ่นราคา 30-40 บาทต่อกิโลกรัม แต่จากการบริหารจัดการโดยการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ และการคัดคุณภาพก่อนส่งจำหน่ายทำให้สามารถจำหน่ายลองกองเกรด A ได้ราคาถึง 100 บาทต่อกิโลกรัม อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า เกษตรกรดีเด่นประจำปี 2563 ทั้ง 2 รายนี้นับเป็นความภาคภูมิใจของกรมวิชาการเกษตร เพราะเป็นเกษตรกรที่มีความมุ่งมั่นและรักในอาชีพเกษตรกรอย่างแท้จริง มีความคิดริเริ่ม อดทน ขยันหมั่นเพียร พร้อมที่จะแบ่งปันความรู้ ทำการเกษตรโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม ผลิตผลผลิตที่มีคุณภาพจนได้รับการยอมรับทั้งจากตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งสามารถที่จะเป็นผู้นำและแบบอย่างให้เกษตรกรรายอื่นได้ปฏิบัติตามต่อไป