รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโพสต์ให้ความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Thira Woratanarat ระบุว่า
5 พฤษภาคม 2563
โดย รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และรศ.ดร.พญ.ภัทรวัณย์ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
เมื่อวานนี้ ศบค.ประกาศด้วยความยินดีว่า ไม่มีเคสคนไทยติดเชื้อใหม่ มีแต่เพียงคนต่างด้าว
ดีใจได้หนึ่งวัน วันนี้เรามีเคสใหม่เป็นคนไทย 1 คน
ที่น่าสนใจคือ กลับมาจากต่างประเทศตอนต้นมีนาคม กลางเดือนมีนาคมตรวจไวรัสได้ผลลบ
ใช้ชีวิตอยู่หนึ่งเดือน จากนั้นเริ่มป่วยตอนปลายเดือนเมษา ก่อนจะตรวจพบเชื้อต้นพฤษภา
คำถามที่น่าคิดคือ ติดจากอะไร?
ระหว่าง...
1. การติดเชื้อมาและแฝงอยู่โดยตรวจไม่พบในครั้งแรก แล้วค่อยมาป่วยตอนหลัง ซึ่งเป็นลักษณะ prolonged viral shedding ซึ่งมีงานวิจัยต่างประเทศเคยมีรายงานยาวนานถึง 47 วัน (และหากจำไม่ผิดมี letter to editor ในวารสารฉบับหนึ่งเร็วๆ นี้ กล่าวถึงเคสที่ยาวนานถึง 2 เดือน)
กับ
2. การติดเชื้อจากผู้ที่มีเชื้อที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่อยู่อาศัยในระหว่างช่วงเวลาหนึ่งเดือนก่อนจะปรากฏอาการป่วยขึ้นมา ซึ่งแปลว่าอาจมีคนติดเชื้อที่ไม่มีอาการ หรือเรียกว่า asymptomatic case ที่เราทราบกันดีว่า คนติดเชื้อโรค COVID-19 นั้นมีโอกาสจะไม่มีอาการได้ประมาณเกือบ 20%
แปลว่าติดเชื้อ 100 คน จะไม่มีอาการใดๆ เลยถึง 20 คน
ยังไม่นับคนที่อาจมีอาการน้อยคล้ายหวัด หรือหวัดใหญ่ อีกประมาณ 65%
ถ้าเป็นแบบข้อสองที่กล่าวมานี้ก็คงจะยุ่ง เพราะอาจต้องทำ active case finding กันอย่างเข้มข้นในพื้นที่
และไม่ว่าจะเป็นข้อ 1 หรือข้อ 2 ก็ตาม ขออนุญาตส่งกำลังใจให้กับทีมด่านหน้าในพื้นที่นะครับ
อีกทีมที่เราต้องพึ่งพา และเอาใจช่วยทุกวันคือ คนที่อยู่ตามด่านต่างๆ ที่ทำหน้าที่ตรวจคัดกรองคนไทยที่เดินทางจากต่างประเทศกลับเข้ามาในแผ่นดินแม่ ก่อนจะนำไปกักตัวสังเกตอาการ
เท่าที่ทราบมา มีคนไทยที่ขึ้นทะเบียนขอเดินทางกลับเข้ามาจำนวนมากตลอดเดือนนี้ คนทำงานก็หนักมาก และคนที่เดินทางกลับมาก็ต้องอดทนเฝ้าสังเกตอาการในสถานที่ที่รัฐจัดเตรียมไว้ด้วยความอดทนและลุ้นว่าเสี่ยงจะติดเชื้อมาหรือไม่ ขอเอาใจช่วยทุกๆ คน
1 คนที่ติดเชื้อใหม่ในวันนี้ เป็นหลักฐานย้ำเตือนให้เราๆ ท่านๆ ต้องหมั่นเตือนสติตัวเองและคนในครอบครัวเสมอว่า ควรปฏิบัติดูแลตนเองให้ดี อย่าให้ติดเชื้อ หรืออย่าเผลอเอาเชื้อไปแพร่โดยไม่รู้ตัว
การไปเบียดเสียดยัดเยียดในขบวนรถไฟ แม้จะด้วยเหตุผลว่ากลัวจะไปทำงานสาย หรือใดๆ ก็ตามแต่ อยากให้คำนึงเสมอว่าที่ตัดสินใจรับความเสี่ยงไปในขบวนรถไฟในวันนี้ อาจเป็นรถไฟขบวนสุดท้ายที่ท่านจะได้ขึ้นก็เป็นได้
เราไปทำงานสาย เพราะรอขบวนถัดไป หากนายจ้างตำหนิ...ในสถานการณ์แบบนี้ควรนำความร้องทุกข์ต่อรัฐและสื่อสังคม เพื่อไล่เบี้ยนายจ้างที่ขาดจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม
แต่ถ้าเราไปทำงานทัน เพราะตัดสินใจไปแออัดเบียดเสียด...ถึงจะได้คำชมจากนายจ้าง แต่การกระทำของเรานั้นไม่ใช่เรื่องที่น่ายกย่องเอาเสียเลย เพราะเดิมพันกับดวงว่าจะแจ็คพอตอยู่ในขบวนสายมรณะหรือไม่ แถมไม่ได้มรณาเพียงคนเดียว แต่มรณาเป็นหมู่คณะ
ยุคโรคระบาดเช่นนี้ ทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง ประชาชน และรัฐ ควรช่วยกันปรับตัว ยืดหยุ่น มุ่งเน้นความปลอดภัยของทุกคนในสังคม
นี่จึงจะเป็น New Normal = New "Me" ที่พึงปรารถนา
อย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ต่อไปอีกเลย โอกาสแก้ตัวไม่ใช่ว่าจะมีกันทุกคนทุกคราครับ
#อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ
#StayHome
#WorkfromHome
#ใส่หน้ากากเสมอล้างมือบ่อยๆอยู่ห่างคนอื่นๆ
#NewNormal_NewMe
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน ฝ่าฝัน อดทน อดกลั้น และอดออม...เราจะรอดไปด้วยกันครับ
ประเทศไทยต้องทำได้ครับ...