มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และภาคี นำแนวพระราชดำริมาบรรเทาพิษโควิด-19 ส่งเสริมอาชีพและพัฒนาการเกษตร 34 อำเภอของจังหวัดอุดรธานี ขอนแก่น และกาฬสินธุ์จำนวน 83 โครงการ ช่วยให้ประชาชน 3,800 ครัวเรือนมีรายได้เพิ่มจากเดิมปีละ 140 ล้านบาท เมื่อวันที่ 4 พ.ค. หม่อมราชวงศ์ดิศนัดดา ดิศกุล เลขาธิการมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ เผยความคืบหน้าโครงการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อบรรเทาทุกข์ผู้ตกงานจากภัยโควิด-19 ว่ามูลนิธิฯ ยึดแนวทางบูรณาการกับภาคีในรูปแบบสี่ประสาน คือ ราชการ เอกชน ประชาชนและมูลนิธิฯ ในฐานะผู้ริเริ่มและประสานแผน จึงทำให้โครงการต่าง ๆ เริ่มได้รวดเร็วและพัฒนาได้อย่างยั่งยืน “ในเวลาเดือนเดียวที่มูลนิธิฯ ตัดสินใจจะทำ ก็ได้รับความร่วมมือจากภาคีต่าง ๆ ทั้งกระทรวงมหาด ไทย กระทรวงเกษตร และสหกรณ์ เอกชน และประชาชนในพื้นที่ ช่วยกันสำรวจแหล่งน้ำต้นทุน สำรวจความคิดเห็นของชาวบ้าน และข้อมูลตลาดสินค้า ทำให้ทุกฝ่ายเกิดความเข้าใจ จึงมั่นใจว่าเรากำลังทำอะไร เพื่ออะไร” ปิดทองหลังพระฯ มีเป้าหมายเบื้องต้น คือการสร้างงานรองรับผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยนำมาผนวกกับการแก้ปัญหาภัยแล้งเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่การลงทุน หม่อมราชวงศ์ดิศนัดดา กล่าวว่า ในระยะที่หนึ่งของโครงการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากนี้ จะส่งเสริมการมีงานทำด้วยการพัฒนาแหล่งน้ำ 116 แห่งในจ.อุดรธานี ขอนแก่น และกาฬสินธุ์ ซึ่งในปัจจุบันมีความ ก้าวหน้าและเริ่มการพัฒนาแล้ว 83 โครงการ “ช่วงที่มีปัญหามาก ๆ อย่างตอนนี้ ประชาชนจะเห็นว่าพระราชดำริช่วยได้จริง ๆ โครงการนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ เกษตร เอกชน มาร่วมมือกับชาวบ้านทั้งที่ตกงานจากโควิด-19 แล้วมาทำงานหารายได้ยังชีพ 350 คนกับชาวบ้านอีกเกือบ 4,000 คนที่อาสามาทำงาน เพราะเขารู้ว่าเมื่อมีน้ำแล้ว เขาเองจะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงมีเอกภาพและทุกฝ่ายจะได้ประโยชน์ทั้งระดับชุมชน ท้องถิ่นและระดับประเทศ” ทั้งนี้ โครงการแหล่งน้ำทั้ง 83 แห่ง ครอบคลุม 34 อำเภอ ซึ่งเมื่อคำนวณแล้วพบว่า ทำให้เกษตรกร 3,844 ครัวเรือน จะมีน้ำเพียงพอเพื่อการเกษตร คือเพิ่มขึ้น 15.2 ล้านลูกบาศก์เมตร กระจายน้ำได้ครอบคลุม 20,249 ไร่ “เราเคยทำโครงการแบบนี้มาก่อนที่อุดรธานี ซึ่งวิจัยแล้วว่าเมื่อมีน้ำเพียงพอ รายได้ของชาวบ้านจะเพิ่มขึ้นไร่ละ 7,000 บาท คือ จากข้าวประมาณสองพันบาทและจากพืชหลังนาอีกห้าพันบาท ฉะนั้นแหล่งน้ำ 83 แห่งนี้ก็จะทำให้รายได้เพิ่มขึ้นอีกปีละประมาณ 141 ล้านบาท ในขณะที่เงินลงทุนรวมเพียง 53 ล้านบาท หรือเฉลี่ยแห่งละ 650,000 บาท” นอกจากการพัฒนาแหล่งน้ำและระบบกระจายน้ำแล้ว มูลนิธิฯ ยังจะร่วมมือกับกระทรวงเกษตรฯ และภาคเอกชน ในการส่งเสริมการเกษตรที่มีมูลค่าเพิ่ม ตรงความต้องการของตลาดอีกด้วย จึงจะทำให้เกิดคุณประโยชน์หลัก ๆ สามด้าน คือ เกิดระบบกระจายน้ำเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของอาชีพเกษตร เกิดธุรกิจใหม่ในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพตรงความต้องการของตลาด และเกิดความรู้เพื่อให้ท้องถิ่น และชุมชนพัฒนาตนเองได้อย่างยั่งยืนในอนาคต “การระบาดของโควิด-19 มาซ้ำเติมความแห้งแล้งรุนแรงที่สุดใน 40 ปี เราต้องยอมเหนื่อยกัน แต่เมื่อรัฐบาลเตรียมกระตุ้นการพัฒนาแหล่งน้ำและการเกษตร ผมก็คิดว่าแนวทางที่เราทำกันอยู่นี้จะทำให้กระตุ้นได้ผลเต็มที่และยั่งยืนด้วย” นายชัยธวัช เนียมศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ เปิดเผยว่า “โครงการที่มาร่วมกันทำนี้สามารถทำให้เกิดอาชีพที่มั่นคงระยะยาวแก่ชาวบ้านได้ เป็นการทำแบบเล็กไปหาใหญ่ ผมจึงขอให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยเข้ามาร่วม เพื่อเป็นการเรียนรู้รูปแบบของงานเพื่อให้กาฬสินธุ์ขยายงานต่อไปได้เอง” นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่าขอนแก่นมีแนวทางชัดเจนที่จะต่อยอดการพัฒนาแหล่งน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน โดยได้มอบให้หน่วยราชการต่าง ๆ เข้ามามีบทบาท เช่น เกษตรฯ จะเข้ามาสนับสนุนทั้งในเรื่องเมล็ดพันธุ์ และนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อพัฒนาอาชีพให้เกษตรกรอย่างยั่งยืนต่อไป นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า โครงการที่จังหวัดเข้ามาร่วมงานด้วยนี้ไม่เพียงจะบรรเทาทุกข์คนตกงานจากโควิด-19 เท่านั้น แต่เป็นโครงการพัฒนาอาชีพที่จะมีความยั่งยืนตามแนวพระราชดำริได้ต่อไป เพราะสามารถแก้ปัญหาน้ำพร้อมกับเสริมความสามารถทางอาชีพให้แก่ประชาชนไปพร้อม ๆ กัน ด้านนายพงศ์ภัค สีมี อายุ 26 ปี ชาวอำเภอหนองหาน จ.อุดรธานี กล่าวว่า เขาตกงานจากอาชีพรับจ้างกรีดยางในจังหวัดสงขลา จึงต้องกลับบ้านเกิดอุดรธานีและสมัครเข้าร่วมโครงการนี้ในตำแหน่งอาสาพัฒนาหมู่บ้าน (อสพ.) “ตอนแรกผมก็ไม่รู้อะไร แต่พอมาร่วมแล้วก็ดีกว่าที่คิดเพราะมีงานทำชั่วคราว แล้วยังได้เข้าอบรม ทำให้ผมได้เรียนรู้เรื่องพระราชดำริ กับเทคนิคการเกษตรอย่างระบบน้ำหยดพลังแสงอาทิตย์ เทคนิคการปลูกผักที่ตลาดต้องการ เป็นประโยชน์กับผมและชุมชนมาก” อย่างไรก็ตาม สำหรับรายละเอียดการดำเนินโครงการของแต่ละจังหวัด มีดังนี้ จ.อุดรธานี 23 โครงการ ในพื้นที่ 11 อำเภอ กรอบงบประมาณ 12,669,015 บาท จ้างบัณฑิตว่างงาน 14 คน จ้างผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จำนวน 85 คน มีประชาชนได้รับผลประโยชน์ 990 ครัวเรือน พื้นที่ได้รับประโยชน์ 6,857 ไร่ ปริมาณน้ำ 2,030,320 ลบ.ม. คาดการณ์รายได้เกษตรกรในพื้นที่จะได้รับ 47,999,000 บาท ขณะที่จ.กาฬสินธุ์ 34 โครงการ ในพื้นที่ 13 อำเภอ กรอบงบประมาณ 20,918,258 บาท จ้างบัณฑิตว่างงาน 18 คน จ้างผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จำนวน 120 คน มีประชาชนได้รับผลประโยชน์ 1,962 ครัวเรือน พื้นที่ได้รับประโยชน์ 6,765 ไร่ ปริมาณน้ำ 7,893,232 ลบ.ม. คาดการณ์รายได้เกษตรกรในพื้นที่จะได้รับ 47,355,000 บาท ด้าน จ.ขอนแก่น 26 โครงการ ในพื้นที่ 10 อำเภอ กรอบงบประมาณ 9,245,480 บาท จ้างบัณฑิตว่างงาน 16 คน จ้างผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จำนวน 100 คน มีประชาชนได้รับผลประโยชน์ 892 ครัวเรือน พื้นที่ได้รับประโยชน์ 6,627 ไร่ ปริมาณน้ำ 5,286,166 ลบ.ม. คาดการณ์รายได้เกษตรกรในพื้นที่จะได้รับ 46,389,000 บาท