ชาวต่างชาติสูงอายุผวา หลังถูกจับเดินเล่นชายหาดฝืนประกาศปิดหาดกันโรคโควิด-19 ยอมถูกดำเนินตามกระบวนการ จ่าย 5 หมื่นเป็นเงินหลักทรัพย์ค้ำประกันตามที่นายประกันร้องขอ แต่ไม่ได้ใบเสร็จหรือหลักฐานใด ๆ บอกให้รอขึ้นศาลแล้วเงียบหาย แถมโดนร้อยเวรยึดพาสปอต ทั้งที่ทั่วโลกปิดน่านฟ้าหนีไปไหนไม่ได้และไม่คิดหนีเพราะอยู่เมืองไทยมานาน ขอถ่ายสำเนาก็ไม่ยอม หวั่นวีซ่าหมด 15 พ.ค.นี้มีปัญหา งงถูกจับตั้งแต่ 5 โมงเย็น ดำเนินการเสร็จตี 1 อยู่ในเวลาเคอร์ฟิว รถตราโล่ ตร.สภ.เมืองพัทยา ไปส่งโดนเรียกอีก 2 พัน จากกรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จนที่ผ่านมาภาครัฐได้ออกมาตรการควบคุมอย่างเข้มข้น ส่งผลให้หลายพื้นสถานการณ์เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี ตัวเลขและปริมาณผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด โดยในส่วนของจังหวัดชลบุรีได้มีการประกาศห้ามใช้พื้นที่ชายหาดทั่วทั้งจังหวัด ซึ่งเมืองพัทยาก็ได้ทำการออกมาตรการปิดหาดเพื่อป้องกันโรคระบาด ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา และตำรวจท่องเท่ียวเมืองพัทยา ได้ส่งกำลังออกกวาดล้างและจับกุมผู้ฝ่าฝืนและกระทำผิดไปแล้วอย่างต่อเนื่องนั้น ล่าสุด น.ส.พิมพ์ (นามสมมติ) อายุ 42 ปี เปิดเผยว่า ตนเองเป็นภรรยาอยู่กินกับสามีชาวฝรั่งเศสอายุ 80 ปี ซึ่งจะมีกลุ่มเพื่อนชาวต่างชาติผู้สูงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเป็นชาวฝรั่งเศสรวม 5 คน และชาวเบลยียม 1 คน ทั้งหมดอาศัยอยู่กินในเมืองพัทยามานานหลายปี และมักนัดหมายออกไปทำกิจกรรมผ่อนคลายและกิจกรรมออกกำลังกายตามประสาคนสูงวัยริมชายหาดพัทยา ก่อนในช่วงเย็นเวลาประมาณ 17.00 น.กว่า ๆ ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจขับรถกระบะมาจอดและจับกุมตัวไปที่สถานีตำรวจในความผิดฝ่าฝืนมาตรการปิดชายหาดพัทยาเพื่อป้องกันโรคระบาด เมื่อตนเองได้เดินทางไปช่วยเหลือพบว่าร้อยเวรหรือพนักงานสอบสวนได้ตรวจยึดเอาหนังสือเดินทางหรือพาสปอตไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะมีการแจ้งรับทราบความผิด ซึ่งสามีก็ได้ยินยอมถูกดำเนนคดีตามกระบวนการกฎหมายเพื่อไม่ให้มีปัญหาในการต่อวีซ่าที่จะหมดในวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 นี้ ส่วนตัวแล้วไม่มีความคิดที่จะหลบหนีเพราะสามีอยู่เมืองไทยมานานและเป็นผู้สูงอายุ ช่วงนี้ทั่วโลกก็ประกาศปิดน่านฟ้าไม่สามารถบินไปต่างประเทศได้ ซึ่งตนเองก็ได้สอบถามเรื่องนี้กับร้อยเวร แต่กลับถูกพูดจาไม่ดีใส่ ไม่มีน้ำใจบริการประชาชน แม้ว่าตนเองจะขอถ่ายสำเนากลับถูกต่อว่า ทั้งที่ถามด้วยความสงสัย เพื่อจะได้ดำเนินการอย่างถูกต้อง ทั้งนี้ในส่วนของกระบวนการนั้น มีนายประกันได้แนะนำให้วางเงินสดจำนวน 5 หมื่นบาท เพื่อให้เป็นเงินหลักทรัพย์ในการใช้ประกันตัวได้ดำเนินการต่อในชั้นศาล ซึ่งก็ได้ส่งมอบเงินจำนวนดังกล่าวให้กับนายประกันไป เพราะบอกว่าจะช่วยเร่งรัดการดำเนินการให้มีความรวดเร็วมากขึ้น และเงินส่วนนี้จะไม่ได้คืน ตนเองและสามีก็ยอมรับและพร้อมจ่าย แต่สุดท้ายกลับไม่ได้ใบเสร็จหรือหลักฐานการจ่ายเงินใด ๆ ทั้งสิ้น ได้รับเพียงคำตอบให้รอขึ้นศาล สุดท้ายเรื่องก็เงียบ ยังไม่มีการติดต่อกลับมา ทางสามีก็วิตกกังวลจนเครียดเพราะหนังสือเดินทางถือเป็นเอกสารสำคัญของนักท่องเที่ยว และกลัวว่าจะไม่มีหนังสือเดินทางไปต่อวีซ่าที่ใกล้จะหมดอายุการอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทย น.ส.พิมพ์ ยังเปิดเผยต่อว่า หลังจากดำเนินการเสร็จสิ้นในช่วงเวลาประมาณ 01.00 น. ของวันถัดมา ตนเองก็ได้ขอหลักฐานจากสถานีตำรวจเพราะต้องขับขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้านพักย่านหาดจอมเทียน เนื่องจากอยู่ในเวลาเคอร์ฟิวห้ามออกนอกเคหะสถาน เพื่อไว้ใช้แสดงหากมีการตรวจค้น ป้องกันไม่ให้ถูกจับซ้ำซ้อน แต่ก็ไม่ได้รับเอกสาร ทางร้อยเวรบอกว่าจะมีเจ้าหน้าที่ไปส่ง ให้ขับขี่รถจักรยานยนต์ตามรถกระบะตราโล่ของตำรวจที่จะนำไปส่ง ขณะนั้นมีตนเอง สามีและเพื่อนรวมทั้งสิ้น 4 คน และเมื่อมาถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนายได้เรียกรับเงินจำนวน 2,000 บาท ตนเองจึงได้รวบรวมเงินกันคนละ 500 บาท มอบให้เจ้าหน้าที่ที่มาส่ง ซึ่งก็ยังสงสัยว่ามีค่าดำเนินการทำนองนี้ด้วยหรือ ซึ่งขณะนี้ทางสามีและกลุ่มเพื่อน ๆ มีความหวาดกลัวและหวาดวิตกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก