กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมกับสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)เตรียมดันอัญมณีเป็นหลักประกันทางธุรกิจประเภทใหม่ พร้อมรับฟังความคิดเห็น ผลดี-ผลเสีย ความเป็นไปได้ การประเมินมูลค่าทรัพย์สินจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เชื่อทุกธุรกิจต้องการสินเชื่อขยายกิจการ สร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจระยะยาว นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบถึงภาคธุรกิจเกือบทุกประเภททั้งในและต่างประเทศอย่างรุนแรง รวมถึง อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทย ซึ่งเป็นธุรกิจสำคัญที่สร้างรายได้เข้าประเทศนับแสนล้านบาทต่อปี เมื่อต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างจากผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจอื่น ทั้งในส่วนของภาคการส่งออกที่ไม่สามารถส่งสินค้าไปยังประเทศคู่ค้าได้ การถูกยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้า หน้าร้านไม่สามารถจำหน่ายอัญมณีและเครื่องประดับให้แก่นักท่องเที่ยว ทำให้ส่งผลกระทบถึงการประกอบธุรกิจ เช่น ประสบภาวะขาดทุน ไม่มีรายรับเข้ากิจการ รวมถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก นำมาซึ่งแนวคิดที่จะนำอัญมณีที่มีค่ามาใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจ เพื่อให้ภาคธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับสามารถมีเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบธุรกิจต่อไป ทั้งนี้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าร่วมกับสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT ช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับของไทย โดยการนำอัญมณีที่มีค่ามาเป็น หลักประกันทางธุรกิจ ใช้กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจมาเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมต่อระหว่างผู้ประกอบการและสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตาม เป็นเพียงแนวคิดเบื้องต้นเท่านั้น ยังมีรายละเอียดและขั้นตอนในการรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย สมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ สมาคมนักประเมินราคาอิสระไทย ฯลฯ เพื่อประเมินและวิเคราะห์ถึงผลดี-ผลเสีย โอกาสความเป็นไปได้ในการนำอัญมณีมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ วิธีการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน การให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน(ผู้รับหลักประกัน) การเก็บรักษาหลักประกัน ฯลฯ เป็นต้น คาดว่าจะสามารถประชุมรับฟังความคิดเห็นในเร็วๆนี้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเข้าใจถึงความเดือดร้อนของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เป็นอย่างดี จึงได้ออกพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 ขึ้น เพื่อให้ความช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเอสเอ็มอีของไทย ซึ่งน่าจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของภาคธุรกิจได้ระดับหนึ่ง ทั้งนี้ในมาตรา 9 ของพระราชกำหนดฯได้กำหนดให้สถาบันการเงินได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจในกรณีที่ให้กู้ยืมเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้สามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีลงได้อีก (ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนคิดอัตราร้อยละ 0.1 ของจำนวนเงินที่ใช้เป็นหลักประกันแต่ไม่เกิน 1,000 บาท ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนแก้ไขสัญญา ยกเลิกสัญญา ครั้งละ 200 บาท) “กรมพัฒน์ฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะรีบศึกษาความเป็นไปได้ในการนำอัญมณีที่มีค่ามาเป็นหลักประกันทางธุรกิจประเภทใหม่ ซึ่งหากสัมฤทธิ์ผลดังที่ได้ตั้งใจไว้ คาดว่าจะสามารถช่วยเสริมสภาพคล่องและเพิ่มการลงทุนให้แก่อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยได้เป็นอย่างมาก ซึ่งจะส่งผลถึงรายได้อันมหาศาลที่ได้รับจากภาคการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในอนาคตอีกด้วย”